Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 ประวัติหลวงปู่คำตา ทีปังกโร วัดภูคันจ้อง จ.อุดรธานี อัฐิท่า อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
อิติปิโส
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 18 ส.ค. 2005, 6:59 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ประวัติหลวงปู่คำตา ทีปังกโร วัดภูคันจ้อง จ.อุดรธานี



หลวงปู่คำตา ทีปังกโร

วัดป่าภูคันจ้อง

บ้านคำด้วง ต. คำด้วง อ. บ้านผือ จ.อุดรธานี



ชาติ ภูมิ



หลวงปู่คำตา ทีปังกโร มีชาติกำเนิด ในสกุล ศรบัว

เกิดเมื่อวันที่ ๒ เดือนเมษายน พ.ศ. ๒๔๗๐ ตรงกับปีเถาะ วันเสาร์ขึ้น ๔ ค่ำ เดือน ๕ ณ บ้านโนนซาติ ตำบลนาดี อำเภอสุวรรณคูหา จังหวัด อุดรธานี



โยมบิดา ชื่อ ผง โยมมารดา ชื่อ ผา

ท่านมีพี่น้องร่วมบิดา - มารดา เดียวกัน ๕ คน เป็นชาย ๒ คน เป็นหญิง ๓ คน

ปัจจุบันพี่สาวของท่านยังมีชีวิตอยู่



หลวงปู่คำตา เป็นลูกคนสุดท้อง เมื่ออายุ ๒๑ ปี

หลวงปู่คำตาท่านได้รับคัดเลือกเป็นทหารเกณฑ์ เมื่อเป็นทหารจนครบกำหนดแล้วตามประเพณีทางภาคอีสานจะต้องบวชเสียก่อนค่อยแต่งงาน ส่วนมากสมัยก่อน พออายุครบ ๒๐ ปี ก็ต้องบวชอย่างน้อย๑ พรรษา พออายุครบ ๒๑ ปี

ผ่านการคัดเลือกทหารแล้ว หากถูกคัดเลือกเป็นทหารก็ต้องไปเป็นทหารก่อนค่อยแต่งงาน



สำหรับหลวงปู่หลังจากที่ปลดประจำการ

หลวงปู่ท่านได้ อุปสมบทโดยบวชเป็นพระฝ่ายมหานิกาย ๑ พรรษา เมื่ออายุประมาณ ๒๓ ปี

เมื่อลาสิกขาแล้วท่านได้แต่งงานกับนางสาวจันทร์ นามลี มีบุตรธิดาด้วยกัน ๙ คน เป็นหญิง ๗ คน เป็นชาย ๒ คน ปัจจุบันยังมีชีวิตอยู่ทั้งหมด





หลวงปูเล่าให้ฟัง สมัยเมื่อหลวงปู่เป็นฆราวาส ท่านได้ชักชวนหมู่เพื่อนและญาติพี่น้องสร้างวัดสำหรับพระกัมมัฏฐานขึ้นที่ผาด้วง ซึ่งมีพระกัมมัฏฐานมาพักภาวนาอยู่เป็นประจำ หลวงปู่ท่านได้ไปอุปัฏฐากและฟังเทศน์ จนเกิดความเลื่อมใสในการปฏิบัติภาวนาของพระธุดงค์



หลวงปู่ได้รับการฝึกหัดการปฏิบัติตามกฎของพระธุดงค์อย่างชำนิชำนาญตามนิสัย พระธุดงค์บางรูปท่านอยู่นาน บางองค์ท่านก็อยู่ไม่นาน



ต่อมาไม่มีพระอยู่จำพรรษา หลวงปูท่านซักชวนญาติพี่น้องไปนิมนต์พระเพื่อมาอยู่จำพรรษาโดยเดินทางไปที่วัดป่าสัมมานุสรณ์ บ้านโคกมน จังหวัดเลย ซึ่งมีหลวงปู่ชอบ ฐานสโม เป็นประธานสงฆ์

การไปนิมนต์พระไม่ได้พระ แต่ได้ข้อคิดโดยหลวงปู่ชอบ ท่านได้ให้โอวาทว่า "การหาพระไปอยู่วัดมันยากสู้เราบวชเองไม่ได้ สร้างเราให้เป็นพระ เมื่อฝึกใจของเราให้เป็นพระโดยสมบูรณ์แล้ว เราก็ไม่ต้องไปหาพระภายนอกให้ลำบากอีกต่อไป พวกเรามันโง่ แสวงหาแต่พระภายนอกให้พากันบวชเอา แล้วไปอยู่วัด"





หลังจากกลับมาซึ่งตอนนั้น หลวงปู่ท่านยังไม่อยากบวช เนื่องจากมีภาระในการเลี้ยงดูลูก ๆ ซึ่งยังเล็กอยู่และต้องสร้างฐานะครอบครัวให้เป็นปึกแผ่นมั่นคง พร้อมกับการให้ทานรักษาศีล ประกอบกันไปตามความเหมาะสม การภาวนาก็พยายามทำเมื่อมีโอกาส โดยภาวนาบริกรรมพุทโธเป็นหลัก



หลวงปู่เล่าให้ฟังว่า ช่วงไหนงานทำนาเร่งเพื่อให้เสร็จเร็ว ท่านไม่ได้ไปวัด พอถึงวันอุโบสถ ตอนเช้าทำวัตร สวดมนต์เสร็จก็สมาทานรักษาศีลเองโดยตั้งใจจะรักษาศีลเอง โดยตั้งใจจะรักษาศีลให้บริสุทธิ์วันหนึ่งกับคืนหนึ่ง พอทานอาหารเช้าแล้วก็ออกไปทำงานตามปกติ เนื่องจากวัดไม่มีพระจำพรรษา และต้องทำงานเลี้ยงครอบครัว



เนื่องจากมีลูกหลายคน แต่หลวงปู่ท่านไม่ละความพยายามในการภาวนาหลวงปู่เล่าว่า

บางครั้งขณะไถนาจิตร่วมลงสู่ความสงบ ควายพาไถออกแปลงนา จิตก็ถอนออกจากสมาธิ ท่านก็พาควายกลับเข้ามาไถนาอีกต่อไป โดยท่านภาวนาตลอดเวลาไม่ว่าอิริยาบถใด ไถนา ถอนกล้า ดำนา จนจิตของท่านมีความชำนาญในการทำสมาธิมากการทำนาไม่มีความเหนื่อยล้า เนื่องจากจิตของท่านมีความสงบร่มเย็นด้วยอำนาจของสมาธิ



หลวงปู่เริ่มเห็นคุณค่าของการทำสมาธิตอนนั้นเริ่มมีความอยากบวชในพระพุทธศาสนาตามลำดับ

วันหนึ่งไปเลี้ยงควาย ภาวนาไปด้วยเวลานั่งเฝ้าถวายก็ภาวนาบางครั้งจิตสงบลงจนควายไปไกล พอจิตถอนจากสมาธิท่านก็ลุกตามควายไปพอตามทันก็นั่งสมาธิอีก ทำอยู่อย่างนั้นตลอดวัน

บางครั้งเฝ้าควายอยู่กำลังสูบบุหรี่ พอสูบเข้าไปท่านมองเห็นควันบุหรี่เข้าไปในปอด มองดูเห็นหน้าอกเห็นหมด พวกตับ ไต ไส้พุงต่าง ๆ ท่านเลยนั่งกำหนดดูจนควายกินหญ้าไปไกล พอออกจากสมาธิแล้วตามควายไป จากนั้นท่านก็มีความอยากบวชเป็นกำลัง เนื่องจากการเป็นฆราวาสมีเวลาน้อยยุ่งยากไม่สะดวก



ท่านจึงเริ่มแสวงหาครูบาอาจารย์ ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ

ขณะนั้นวัดเทพธารทองมีชื่อเสียงมากในการปฏิบัติ ท่านจึงได้มอบทรัพย์สมบัติที่มีอยู่ทั้งหมดให้แก่ภรรยาและลูก ๆ ทุกคน ซึ่งสามารถเลี้ยงชีวิตโดยไม่ลำบากจึงตัดสินใจลาออกบวช โดยมุ่งหน้าสู่วัดเทพธารทอง

หลวงปู่ได้เดินทางมาฝากตัวเป็นศิษย์ ขอบวชในพระพุทธศาสนากับพระอาจารย์บัวไล ซึ่งเป็นเจ้าอาวาส

ท่านได้รับฝึกหัดขานนาคจนชำนาญจึงอนุญาตให้บวช



หลวงปู่ท่านอุปสมบท เมื่อวันที่ ๒๐ เดือนเมษายน พ.ศ.๒๕๑๗

เมื่ออายุ ๔๘ ปี ณ วัดเทพธารทอง ต.แก้งไก่ อ.สังคม จ.หนองคาย

โดยมีพระครูศีลขันธ์ สังวร (อ่อนสี สุเมโธ) วัดพระงามศรีมงคล เป็นพระอุปัชฌาย์ พระกรรมวาจาจารย์ พระครูญาณปรีชา (เหรียญ วรลาโภ) วัดอรัญบรรพต พระอนุสาวนาจารย์พระครูวินัยธร

โดยได้รับฉายาว่า ทีปังกโร ซึ่งแปลว่า ชื่อของพระพุทธเจ้าทีปังกร



เมื่อบวชแล้วได้อยู่จำพรรษาที่วัดเทพธารทอง ด้วยความไม่ประมาทหลวงปู่ท่านสอนตัวเองเสมอว่า เราบวชตอนแก่จะต้องทำความเพียรเต็มความสามารถไม่ว่าอิริยาบถใด ท่านทำความสงบได้ไม่ยาก

กติกาวัดเทพธารทอง วันพระ ๘ ค่ำ ๑๕ ค่ำ ห้ามไม่ให้นอนนั่งภาวนาร่วมกันที่ศาลาจนสว่าง ทั้งพระเณรและฆราวาส ที่ไปปฏิบัติธรรมที่วัดต้องถืออย่างเคร่งครัด สำหรับหลวงปู่ท่านมีความพอใจในการปฏิบัติแบบนี้ เพราะจะได้ทรมานกิเลสตัวที่เห็นแก่หลับแก่นอน จิตของหลวงปู่สงบง่ายท่านบอกว่าไม่ต้องทรมานเหมือนคนอื่น แม้แต่เวลาอยู่กันหลายองค์ กำลังพูดคุยกันอยู่ก็ยังสงบ บางทีปล่อยให้สงบจนพระที่อยู่ด้วยกันท่านคิดว่านั่งหลับท่านบอกว่าพระเณรพูดกันได้ยินหมด แต่ไม่สนใจ จนจิตถอนออกจากสมาธิแล้วคุยกับพระเณรต่อ พระถามท่านว่านั่งหลับหรือ ท่านไม่พูดเพียงแต่ยิ้ม ๆ เพราะเขาไม่รู้ วันหนึ่งท่านนั่งสมาธิอยู่บนกุฏิเกิดนิมิตเห็นเพื่อนของท่าน เดินขึ้นมาบนกุฏิ มาหาท่านเขาตัดผมใหม่ เขาบอกว่าเขาตายแล้วและขออนุญาตหลวงปู่จะไปอยู่วิมานหลวงปู่ถามว่า ทำไมไม่ไปอยู่ เขาบอกว่าอยู่ไม่ได้ต้องขออนุญาตจากหลวงปู่ก่อน เพราะท่านออกค่าใช้จ่ายมากกว่า หลวงปู่เลยบอกว่า เรายกให้เลย เรายกให้ทั้งหมด เราไม่เอา เขากราบลาแล้วลงจากกุฏิด้วยความยินดี หลวงปู่เล่าว่า สมัยยังไม่บวกไปสร้างกุฏิด้วยกันโดยหลวงปู่ ออกเงินค่าใช้จ่ายมากกว่า ฉะนั้นท่านจึงมีสิทธิมากกว่าเขาถ้าตายก็ต้องอยู่ด้วยกัน เขาก็ต้องไปเกิดเป็นบริวาร เพราะบุญน้อยกว่า แต่หลวงปู่ท่านสละทานให้ เพราะบวชแล้ว และเป็นการสงเคราะห์เพื่อน พอต่อมาไม่นานมีญาติมาเยี่ยมท่าน จึงถามข่าวถึงเพื่อนเขาบอกว่าตายแล้ว ท่านก็หมดความสงสัยในความรู้ที่เกิดขึ้นความรู้เห็นสิ่งต่าง ๆ เริ่มเกิดขึ้นตั้งแต่ปฏิบัติ ตั้งแต่เริ่มภาวนาใหม่ ๆ ความเชื่อและศรัทธามีความแน่นหนามั่นคงตามลำดับ ถึงสมาธิของท่านจะแน่นหนามั่นคงขนาดไหน พอมีช่องว่างกิเลสก็เข้าแทรกทันทีวันหนึ่งเกิดคิดถึงบ้านคิดถึงลูกยังเล็ก ๆ อยู่ คงจะลำบากเกิดความสงสาร คิดอยากจะสึกเต็มกำลัง ภาวนาอย่างไรก็ไม่สงบ มีแต่ความฟุ้งซ่านรำคาญ ทนไม่ได้ก็เลยหยุดภาวนา เลยเดินไปบริเวณวัด พอดีไปเจอสามเณรน้อยนั่งอยู่คนเดียว เลยนั่งคุยกับสามเณรว่าอยากสึกไหม สามเณรตอบท่านว่า ไม่อยากสึก ขี้เกียจไปเลี้ยงควาย ไม่ไปก็ไม่ได้แม่จะตีเอา เวลาไปเลี้ยงควายริ้นมันกัดหัวกัดหูไม่อยากสึกพอสามเณรพูดจบ หลวงปู่ท่านได้สติทันที ท่านพูดกับตนเองว่าขนาดสามเณรยังรู้ว่าเลี้ยงควายมันลำบาก แต่เราแก่ขนาดนี้ยังไม่รู้ว่ามันเป็นทุกข์ ยังจะมาอวดดีหรือว่าตนเองฉลาด หลังจากนั้นพอกลับจากกุฏินั่งภาวนาจิตก็รวมสู่ความสงบ พอจิตถอนจากสมาธิแล้วท่านจึงเริ่มพิจารณาถึงเหตุที่ทำให้จิตเสื่อมจากสมาธิ เพราะความประมาทหลงติดสุขในสมาธิไม่ยอมพิจารณาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ ท่านจึงเริ่มพิจารณาตั้งแต่สมัยท่านแต่งงานใหม่ ๆ ต้องทำบาปเพราะหาเลี้ยงชีวิตเพราะความยึดมั่นในตัวภรรยาว่าเป็นของเรา แล้วเกิดความหึงหวงเหมือนประหนึ่งว่าจะไม่ตายจากกันจะไปไหนก็ไม่ได้จิตมีแต่ความทุกข์ มีแต่ความอาลัยอาวรณ์ เวลาไม่สบายก็ต้องดูแลกันเป็นทุกข์เป็นทุกข์ด้วยกันทั้งสองฝ่าย พออยู่มาไม่นานก็มีลูกทั้งผู้หญิงทั้งผู้ชาย ยิ่งต้องทำบาปทำกรรมหนักขึ้นไปอีก แทบจะหาบุญไม่เจอไม่ทำก็ไม่มีกิน เพราะลูก ๆ ตาดำ ๆ ให้เขากินอะไร

ท่านถึงกับพูดว่า คนเราทุกข์เพราะการกิน เมื่อท่านพิจารณาอย่างละเอียดตามหลักความจริงแล้ว ถึงแม้จะรักจะหึงหวงภรรยาของเราขนาดไหน สุดท้ายก็ต้องพลัดพรากตายจากกันไป แม้แต่ลูก ๆ ก็เหมือน

กันไม่มีใครในโลกจะสามารถยับยั้งสิ่งเหล่านี้ได้ ทุกอย่างเป็นของไม่เที่ยงเป็นทุกข์ด้วยกัน หลวงปู่เคยพูดเสมอเมื่อลูกศิษย์ไปกราบท่าน พูดเป็นภาษาอีสานว่า "ฮักลูกพอปานเชือกผูกคอฮักหลานพอปานปอผูกศอกฮักข้าวของเงินทองพอปานปอกมัดขาท่านว่ามัดสามประการนี้แหละจึงออกจากบ้านจากเรือนมาอยู่วัดไม่ได้เมื่อท่านพิจารณาเห็นตามหลักของความจริง จิตก็มีแต่ความสงบร่มเย็น การภาวนาก็ก้าว

หน้าหมดความอาลัยในการที่จะลาสึกอีกวันหนึ่งตอนกลางคืนกำลังเดินจงกรม จิตมีความสงบเกิดแสงสว่างทั่วสุดทางจงกรมและมีโครงกระดูกลอยอยู่ข้างหน้า ท่านก็เดินจงกรมตามไปพอสุดทางจงกรม พอจะเลี้ยวกลับท่านคิดว่ามันจะมาข้างหลังหรือ พอหันกลับมาก็เจอโครงกระดูกอีก แต่ท่านตั้งสติ

และเดินจงกรมเรื่อย ๆ พอไม่นานโครงกระดูกก็หายไป ท่านได้พิจารณาดูแล้ว เห็นว่าคนเราหลงโครงกระดูกที่มีเครื่องประดับประกอบด้วยของปฏิกูลต่าง ๆ ประกอบไปด้วยอาการ ๓๒ ประการ อันได้แก่ เนื้อ หนัง เอ็น กระดูก เมื่อรวมกันแล้วเรียกว่า คนแล้วก็ยึดมั่นว่าเป็นตัวเป็นตนลืมเนื้อลืมตัว ยึดมั่นถือมั่นในตนเองมีสมบัติมากลืมเนื้อลืมตัว มีบริษัทบริวารมากลืมเนื้อลืมตัว มียศถาบรรดาศักดิ์มากลืมเนื้อลืมตัว ยิ่งพิจารณายิ่งเห็นความน่าเบื่อหน่ายของกิเลสตัณหาไม่ว่าเขาไม่ว่าเรา ถ้าไม่มีธรรมเข้าครอบครองหัวใจแล้วเป็นได้ทั้งนั้น นี้แหละเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ในวัฏสงสาร หลงทำกรรมอันชั่วลามกก็เพราะความลืมตัวลืมตน หยิ่งยโส นำมาซึ่งความตกต่ำ เกิดมาก็อด ๆ อยาก ๆ มีอำนาจวาสนาน้อยเพราะการกระทำของตนเอง คนเราทุกข์เพราะความหลงในร่างกายอันเป็นของไม่เที่ยงเกิดขึ้นมาแล้วก็รอแต่การแตกสลายในที่สุด เราควรจะรีบเร่งทำความเพียร เพื่อจะออกจากทุกข์ เพื่อละความยึดมั่นในสิ่งทั้งหลายดีกว่า



หลวงปู่ท่านมีความรู้เกี่ยวกับพวกกายทิพย์

ท่านเล่าว่าวัดเทพธารทองมีพวกภูมิยักษ์แสดงอิทธิฤทธิ์ให้ท่านดู เขายืนทีกลางแม่น้ำโขง แม่น้ำโขงลึกเพียงแค่หน้าแข้ง ตัวเขาใหญ่มากเขาแสดงให้ท่านดู ท่านเร่งภาวนาอย่างหนัก ทั้งอดนอนทั้งอดอาหารสลับกัน ท่านสอนตนเองเสมอว่า "ท่านบวชตอนแก่ ต้องทำความเพียรแข่งกับความตาย ซึ่งไม่รู้วันไหนจะตายจากโลกนี้" ท่านมีความเด็ดเดี่ยวมากในการทำความเพียร บางคืนนั่งภาวนาจนสว่าง

บางคืนเดินจงกรมตลอดคืน ช่วงหลังการภาวนาไม่สะดวก เนื่องจากญาติโยม - พระเณรมีจำนวนมากขึ้น เพราะสมัยนั้นวัดเทพธารทองกำลังโด่งดังมากในเรื่องการปฏิบัติภาวนา หลวงปู่ท่านจึงตัดสินใจลา

พ่อ - แม่ครูอาจารย์ออกเที่ยวธุดงค์ เพื่อแสวงหาที่สงบในการที่จะทำลายกิเลสตัณหาที่ยังบังคับจิตใจ แทบจะหาความสุขแทบจะไม่มีประมาณ พ.ศ. ๒๕๒๒ หลวงปู่ได้ธุดงคปภาวนาหลายที่ท่านเล่าว่า ท่านไปภาวนาอยู่ทางสกลนคร ท่านว่าวัดอยู่กลางทุ่งเป็นวัดร้างไม่มีพระอยู่ การภาวนาสงบทั้งกลางวันกลางคืน บางคืนเดินจงกรมจนสว่าง มีแต่ความสงบเยือกเย็น บางคืนนั่งภาวนาตลอดคืนจิตมีแต่ความดื่มด่ำไม่อยากหยุด จิตหมุนตลอดเวลาในการทำความเพียรภาวนา ที่วัดนั้นมีเปรตเป็นมิจฉาทิฐิ พอนั่ง

ภาวนาเขาขึ้นมาหาตอนแรกไม่ยอมกราบท่านจึงอบรมเทศนาให้ฟังถึงบาปบุญทั้งคุณและโทษ ที่ตัวเขากระทำ จึงได้มารับบาปกรรมที่ตนเองก่อในที่สุดเขาก็ยอมรับและกราบท่าน ที่วัดนั้นมีสระน้ำ หน้าแล้งน้ำแห้งท่านนิมิตเห็นพระพุทธรูปทองคำอยู่ในสระ ตอนเช้าท่านออกไปดูแด่ไม่เจอมีแต่โคลนตมเพราะควายลงไปนอนโคลนมีแต่ตมเต็มไปหมด คืนหนึ่งท่านภาวนาจิตมีความสงบเกิดนิมิตขึ้นเกิดมีห้องนอน ๔ ห้อง ๓ ห้องว่างเปล่า อีกห้องมีผ้าขาวอยู์ในห้อง พร้อมมีเสียงพูดว่า ขอนิมนต์ท่านเข้าพักห้องนี้ หลวงปู่ท่านพยายามพิจารณาอย่างไรก็พิจารณาไม่ออกว่ามันแปลว่าอะไร จะถามใครหนอเพราะตอนนั้นท่านอยู่องค์เดียว ท่านเกิดความวิตกว่าจะมีเหตุใดหนอ จึงตัดสินใจเดินจากที่นั่นทั้งที่เสียดายเพราะภาวนาดีมากท่านกะว่าจะไปถามครูบา-อาจารย์ ให้ท่านแก้ปัญหาให้เสียก่อนค่อยจะกลับมาภาวนาต่อ ท่านได้เดินทางไปหลายสำนักเพื่อกราบเรียนถามท่านตอบมาก็รู้สึกไม่ค่อยลงใจ ท่านไปหาครูบา-อาจารย์หลายองค์ตอบไม่เหมือนกัน และยิ่งทำให้ไม่สบายใจ พอดีนึกขึ้นได้ว่า หลวงปู่ เพียร วัดป่าหนองกอง อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี หลวงปู่จึงได้เดินทางมาที่วัดป่าหนองกอง เพื่อกราบขออยู่ปฏิบัติธรรมกับท่านเมื่อมีโอกาส หลวงปู่จึงกราบเรียนถามท่านเกี่ยวกับนิมิตที่ปรากฏ เมื่อกราบเรียนถามท่าน หลวงปู่เพียรท่านแก้ว่า ห้องนอน ๔ ห้อง หมายถึง หัวใจของคนมี ๔ห้อง ส่วนผ้าขาวที่อยู่ห้องนั้นหมายถึงความบริสุทธิ์ของใจ พอหลวงปู่เพียรพูดจบหลวงปู่เข้าใจทันที ท่านว่าหากเราไม่หนีจากที่นั้น หากเร่งทำความเพียรจะต้องเห็นธรรมของจริง ท่านเฉยดายมาก จากนั้นมาไม่เคยได้กลับไปอีกเลย เมื่อมาอยู่วัดป่าหนองกอง จิตมีความสงบร่มเย็น เนื่องจากอยู่กับอาจารย์ที่ทรงอรรถทรงธรรม หลวงปู่ได้รับอุบายอย่างต่อเนื่อง

การภาวนายิ่งเจริญบงอกงามตามลำดับ แต่ท่านไม่ประมาทรีบเร่งขวนขวาย ท่านว่าที่ป่าหนองกองมีลาภสักการะมากงานนิมนต์ก็มากทำให้ไม่สะดวกในการทำความเพียรขั้นแตกหัก พออยู่ครบ ๕ พรรษา

แล้วจึงขออนุญาตหลวงปู่เพียรออกธุดงค์ เพื่อหาที่เหมาะสมในการจะกำจัดกิเลสตัวฉกาจที่ยังอยู่ในหัวใจ เมื่อหลวงปู่เข้าไปขอโอกาสเพื่อขอออกธุดงค์ หลวงปู่เพียรท่านได้พูดกับหลวงปู่เป็นเชิงห้าม

โดยพูดว่า "มีนาเฟืองแล้ว ซ่างอยากดำนาซ่าว เข้า (ข้าว) กะมีอยู่เล้า ซ่างไปส้นป่ากอย" ความหมายแปลว่า หลวงปู่มีคุณธรรมพอรักษาตัวเองได้ทำไมจะต้องไปแสวงหาที่อื่นอีก พอหลวงปู่เพียรพูดจบ ท่านก็นึกในใจว่า หลวงปู่เพียรพูดก็ถูกของท่าน เพราะหลวงปู่เพียรท่านทามากจนพอแล้ว แต่ตัวเรายังไม่ทันหมดสิ้นจากกิเลส เราจะต้องพยายามทำที่สุดแห่งทุกข์ให้ได้ หากกิเลสยังไม่หมดจากใจจะไม่ลงจากภูเขาโดยเด็ดขาด หลังจากลาหลวงปู่เพียรเรียบร้อยแล้ว ก็เดินทางสู่เทือกเขาภูพาน เพื่อบำเพ็ญภาวนาหลายแห่ง แต่ก็ไม่ได้ดั่งตั้งใจจนธุดงค์มาถึงถ้ำแก้ว บ้านนาหลวงรู้สึกชอบมาก เพราะไกลจากหมู่บ้านมาก สงบทั้งกลางวันและกลางคืนการบิณฑบาตก็พอได้ฉัน โดยบิณฑบาตกับชาวบ้านที่ไปทำไร่ประมาณ ๑๐ หลังคาเรือน สัปปายะมาก



การทำความเพียรของท่านหนักขึ้นตามลำดับ บางครั้งเดิน

จงกรมโซซัดโซเซ ถึงกลับนอนหลับบนก้อนหินที่ขรุขระได้

พอรู้สึกตัวตามด้านข้างของท่านเป็นหลุม ๆ เพราะหินเป็นปุ่ม ๆ ท่าน

ว่ามันน่าเบื่อหน่ายในสังขาร พอตั้งสติก็ต่อสู้กับกิเลสอีกต่อไปไม่

อาลัยในชีวิต ทุกข์เราก็ทุกข์มาตั้งแต่เกิด ทุกข์เพราะการอยู่การกิน

ทุกข์เพราะการขับถ่าย ทุกข์เพราะต้องชำระร่างกาย ทุกข์เพราะ

ความเจ็บไข้ ทุกข์เพราะความคับแค้นจิตใจ ทุกข์เพราะร้อนเพราะ

ความเกิด เพราะความเจ็บป่วย ทุกข์เพราะความชราภาพ ล้วน

แล้วแต่เป็นเรื่องของความทุกข์ทั้งนั้น ทุกข์เพราะการภาวนาถึงจะ

หนักขนาดไหน เราก็ต้องอดทนจะตายก็ขอให้ฝ่ายในการภาวนาดี

กว่าตายเพราะการทำความชั่ว หลวงปู่ท่านปลุกใจตนเองให้สู้กับ

กิเลสตัวพาให้จิตใจอ่อนแอ ท้อแท้ส่วนมากท่านอยู่องค์เดียว การ

ภาวนาของท่านจึงเต็มเม็ดเต็มหน่วย ไม่ขาดวรรคขาดตอน ที่ถ้ำแก้ว

ท่านเล่าว่ามีแก้วจริง ๆ ภูมิเทวดาเขาเอาลูกแก้วมาถวายท่าน แต่

ท่านไม่รับ ท่านบอกเขาว่าท่านมาบำเพ็ญภาวนาไม่ต้องการอะไร

ต้องการชำระกิเลสเท่านั้น อาตมาไม่เอาเก็บไว้เถิด ท่านว่าลูกแก้ว

ใหญ่ประมาณเท่าแขน มีหลายสีสวยงาม แต่ท่านไม่อยากได

ตอนนั้น ท่านป่วยเป็นไข้มาลาเรีย บางวันจับไข้นอนป่วยอยู่องค์เดียว

กำหนดภาวนาจิตสงบนิ่งไม่กระดุกกระดิก เวทนาหายหมดเหมือน

ไม่มีอะไร มีแต่ความรู้เดินอยู่พอเราพลิกตัวเวทนาก็เข้ามาอีก

พอเรานิ่ง ๆ จิดนิ่งเวทนาก็เหมือนไม่มี ท่านเลยนอนนิ่ง ๆ ตั้งสติอยู่กับ

ความสงบจนไข้สร่าง จึงลุกขึ้นนั่งภาวนาเดินจงกรมสลับกันไป ความ

รู้เกิดขึ้นกับท่านหลายอย่างครั้งหนึ่งท่านนิมิตว่าได้ไปบนบ้านหลังหนึ่ง

สวยงามอยู่ใกล้กับถ้ำที่ท่านอยู่ พอตอนเช้าไปดูพบว่าเป็นต้นไม้ใหญ่

ท่านว่าเป็นรุกขเทวดาเขาอยู่ตามหน้าผาบริเวณวัดถั้าแก้วเป็นที่อยู่

ของภูมิเทวดา การรู้การเห็นสิ่งเหล่านี้ ทำให้ท่านได้รู้เห็นกรรมของ

สัตว์ที่ท่องเที่ยวในวัฏสงสาร การเกิดย่อมมีแก่สัตว์ทั้งหลาย

คืนหนึ่งท่านนิมิตว่าได้ขึ้นไปเที่ยวบนสวรรค์ แต่ไม่รู้ว่าชั้นไหนเลย

ไปพบกับภรรยาเก่าของท่านแต่ชาติก่อน พอไปเจอหน้าก็รู้สึกคุ้นเคย

เขาแสดงความสนิทสนมประหนึ่งว่าอยู่ร่วมกันใหม่ ๆ ท่านก็รู้สึกว่า

ที่เขาอยู่สะอาดสะอ้านน่าอยู่ ท่านรู้สึกละอายใจมาก เขานิมนต์

ให้ท่านอยู่ด้วยแต่ท่านไม่อยู่ ตอนนั้นใกล้สว่างนึกถึงผ้าครอง

กลัวผิดวินัย จึงรีบกลับลงมา พอรู้สึกตัวท่านรู้สึกว่าตัวเองนี้โง่มาก

เป็นผู้ชายแท้ ๆ ยังแพ้ผู้หญิงเขาไปเกิดเป็นเทวดา เสวยทิพย์วิมาน

มีความสุขทั้งกลางวันกลางคืน ส่วนเรามาเกิดเป็นมนุษย์มีแต่ทุกข์

ตลอด แหมเราช่างหน้าอายผู้หญิง ท่านพูดกับตัวเองว่าเราจะต้อง

ให้ได้ดีกว่าเขา เพราะเราเป็นผู้ชายจะไม่ยอมเสียเปรียบผู้หญิง เรา

จะต้องไปสูงกว่าเขาท่านยิ่งเร่งภาวนาหนักกว่าเดิม ตอนแรกท่านอยู่ถ้ำ

ต่อมามีศรัทธาสร้างกุฏิถวายท่านและศาลาหลังเล็ก ๆ และจำพวก

ถังน้ำต่าง ๆ แท็งก์น้ำ เนื่องจากขาดแคลนน้ำในหน้าแล้ง มีศรัทธา

เริ่มรู้จัก ภายในถ้ำแล้วมีบ่อน้ำเล็ก ๆ ไม่แห้ง แต่ไม่มากมีเฉพาะ

เอาไว้ฉันและล้างหน้า พระเณรเริ่มรู้จักท่าน มีพระขึ้นไปอบรมกับท่าน

คราวละรูปสองรูป เนื่องจากไม่มีที่พักอีกทั้งยังขาดแคลนน้ำและ

อาหาร ท่านตั้งใจว่าจะอยู่ที่วัดถ้ำแล้วตลอด แต่ต้องจำใจจากวัด

ถ้ำแล้วอันแสนวิเวก สงบสงัด เพราะทางราชการได้ให้ชาวบ้านที่ทำ

ไร่ลงมาอยู่บ้านนาหลวง เพราะเขาถือว่าชาวบ้านทำลายป่า หลวงปู่

เลยต้องย้ายจากวัดถ้ำแล้วลงมากับญาติโยม



หลวงปู่จำพรรษาวัดถ้ำพระนาหลวง มีพระขึ้นไปจำพรรษา

กับหลวงปู่ มีพระ ๕ รูป สามเณร ๔ รูป รวม ๙ รูปทั้งหลวงปู่

ความเป็นอยู่มีความลำบากมาก เพราะจำพรรษาด้วยกันหลายองค์

หลวงปู่ท่านให้พระ-เณรถือธุดงค์หมดทุกรูป โดยท่านเน้นหนักมาก

คือ การเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร วันไหนไม่ได้บิณฑบาตวันนั้นก็ไม่ฉัน

ฉันหนเดียวเป็นวัตร ฉันภาชนะเดียวเป็นวัตร โดยอาหารจัด

ลงเฉพาะในบาตรทั้งหวานทั้งคาว การถือผ้าไตรจีวรเป็นวัตร คือมี

ผ้าสังฆาฏิ - สบง - จีวร ซึ่งถือเป็นผ้าครองเท่านั้น ส่วนวันพระถือ

การไม่นอน นั่งภาวนารวมกันที่ศาลาจนสว่าง ซึ่งสมัยนั้นข้อวัตรใน

การปฏิบัติของท่าน ตอนประมาณ ๑๙.00 น. พระเณรและ

ญาติโยมรวมกันที่ศาลา ถ้าเป็นวันพระ ๑๕ ค่ำ ๑๔ ค่ำ ท่านจะพา

พระภิกษุลงปาติโมกข์ก่อน สามเณรและอุบาสก - อุบาสิกาก็ร่วม

ฟังด้วยและทำวัตรเย็นต่อจนจบ หลังจากเสร็จท่านให้พักเพื่อปล่อย

หนัก ปล่อยเบา เสร็จแล้วก็รวมกันอีกครั้งหนึ่ง โดยหลวงปู่ท่าน

เทศน์อบรมถึงการปฏิบัติโดยให้ถือธุดงค์อย่างเคร่งครัด ถึงแม้จะ

อดอยากสักปานใดก็ต้องต่อสู้ เมื่อตั้งสัจจะสิงใดแล้ว ต้องพยายาม

อดทน แม้ตายก็ไม่ควรเสียดายชีวิต ความกลัวตายเป็นเรื่อง

ของกิเลส พวกท่านบวชน้อยเพียงหนึ่งพรรษา ฉะนั้นต้องภาวนา

ทำความเพียรให้มากถึงจะคุ้มค่ากับการบวช ให้พวกท่านตั้งใจภาวนา

ไม่ต้องทำอะไร ให้บริกรรมภาวนาอยู่กับพุทโธเท่านั้น วันนี้ผมจะ

พานั่งภาวนาจนสว่างค่อยเลิกกัน นี้ท่านเรียกว่า เนสัชชิธุดงค์

พระพุทธเจ้ากล่าวว่าได้บุญได้อานิสงส์มากหากทำได้ เมื่อพูดจบก็

แนะนำการนั่ง ขาขวาทับขาซ้าย ตั้งกายให้ตรง ตั้งสติอยู่กับลม

หายใจเข้าออกโดยบริกรรมพุทโธ เพราะตอนนั้นมีแต่ลูกศิษย์บวชใหม

ตั้งใจบวชแค่หนึ่งพรรษาเท่านั้น จะมีพระเก่าก็เพียงท่านกับพระองค์

รองจากท่าน พรรษา ๕ เท่านั้น หลังจากนั้นก็นั่งภาวนา ความเงียบ

ความวังเวงประหนึ่งว่านั่งอยู่คนเดียว สมัยนั้นการนั่งสมาธิก็นั่งเลย

ไม่มีเปิดเทปให้ฟัง เพียงจุดตะเกียงไว้เท่านั้น นั่งแต่ ๓ ทุ่ม ถึง

๖ ทุ่ม ท่านก็กระแอมและบอกให้พักเพื่อเปลี่ยนอิริยาบถ แต่หลวงปู่

ท่านยังนั่งอยู่เหมือนเดิม เพียงแต่เหยียดขา แขน นิดหน่อย

ท่านไม่ค่อยพูดหลังจากนั้นเวลา ๐๑.00 น. ท่านก็พานั่งต่ออีก

จนถึงเวลา ๐๔.00 น. ท่านก็ให้ไปล้างหน้าทำกิจธุระส่วนตัวเสร็จก็

ทาวัตรสวดมนต์ ทำวัตรเช้าเสร็จทำกิจวัตรตั้งที่ฉันเสร็จแล้วเตรียม

ออกไปบิณฑบาตตามปกติที่ในหมู่บ้านนาหลวง หลวงปู่ท่านนำ

บิณฑบาตไม่เคยขาด ประหนึ่งว่าท่านไม่เหนื่อย ทั้งที่ไม่นอนตลอด

ทั้งคืน ท่านเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ลูกศิษย์ ไม่เคยแสดงความ

อ่อนแอท้อแท้ให้ปรากฏ ในพรรษามีพระป่วย ๓ รูป ป่วยหนักมาก

เพราะเป็นไข้ ยารักษาไม่มี หาสมุนไพรมาต้มฉันกัน หลวงปู่ท่าน

สั่งให้ชาวนาอย่างเดียวไม่ต้องกลัว สมัยนั้นถนนลำบากมากรถก็ไม่มี

แม้แต่เงินกลางสงฆ์ก็แทบไม่มี สบู่ ยาสีฟัน ยาแก้ไข้ แก้ปวดก็หา

ยากและอยู่กันหลายองค์ แต่ก็รอดตายกันทุกองค์ หลวงปู่ท่าน

ทำความเพียรของท่านอย่างหนักหาผู้เทียบยากเท่าที่เคยเห็นมา

พอออกพรรษาแล้วไม่มีกฐิน ผ้าป่า ต่างองค์ต่างแยกย้ายกันคงเหลือ

แต่ลูกศิษย์ผู้ใกล้ชิดที่ติดตามท่าน พอออกพรรษานานพอสมควรแล้ว

ท่านได้พาลูกศิษย์ออกธุดงค์หลายที่ จากนั้นท่านได้ไปจำพรรษาที่

บ้านนาเก็น อ.น้ำโสม จ.อุดรธานี

ในพรรษานี้มีพระเณรจำพรรษาประมาณ ๑๐ กว่ารูป เหตุ

ที่จำพรรษา เพราะต้องการสงเคราะห์ญาติโยมบ้านนาเก็นที่เคยขึ้น

ไปอุปัฏฐาก สมัยที่จำพรรษาที่ภูถ้ำแก้ว ทำให้ท่านนึกถึงอุปการคุณ

ที่ญาติโยมได้ช่วยกันบริจาคสิ่งของต่าง ๆ ในดอนท่านเร่งภาวนาให้

ได้รับความสะดวกสบายในการทำความเพียรภาวนา การปฏิบัติก็

เหมือนที่ท่านเคยทำมา คืนวันพระนั่งภาวนาตลอดคืนถือการไม่นอน

นั่งภาวนารวมกันที่ศาลา การปฏิบัติแบบนี้ท่านทำมาตั้งแต่วันบวช

ไม่มีว่าในพรรษา-นอกพรรษา เพราะท่านถือว่า "กิเลสไม่มีพรรษา-

นอกพรรษา การทำความเพียรจึงไม่เกี่ยวพรรษา-นอกพรรษา

จุดมุ่งหมายคือการทำลายกิเลสตัวก่อภพก่อชาติ ตอนท่านอยู่องค์

เดียวของท่าน ก็ทำมาตลอด ท่านพูดว่าผมพาพวกท่านทำเพราะ

ความสงสารท่าน ไม่ใช่ผมบังคับ กลัวว่าท่านจะประมาทไม่ภาวนา

การภาวนามีแต่คุณไม่มีโทษ การขี้เกียจภาวนามีแต่โทษไม่มีคุณ

ดามปกติผมก็ทำของผมอยู่แล้ว ในพรรษานั้นท่านพูดกับลูกศิษย์

รูปหนึ่งของท่านว่า พระองค์นั้นบวชตั้งนานไม่ภาวนาหรือ กระดูก

คือดำแท้ คืนหนึ่งท่านนิมิตว่าท่านเดินตามถนนไปรอบข้างมีตมแต่

โคลนเปรอะเปื้อนจีวร ท่านพิจารณาดูรู้ว่าพระบางรูปก็ศีลไม่บริสุทธิ์

ทาผิดพระวินัย ทำให้ผู้มีศีลบริสุทธิ์เปรอะเปื้อนไปด้วย ทำให้ท่าน

เกิดความสลดสังเวชใจ มีแต่อยากปลีกตัวหาที่สงบไกลจากหมู่บ้าน

ความเจริญทางด้านวัตถุทำให้เหินห่างจากธรรม ลืมพระธรรมวินัย

อันพระบรมศาสดาทรงสั่งสอน พอออกพรรษาแล้ว เมื่อหมดเขต

กฐินหลวงปู่ได้ลาญาติโยมเดินธุดงค์ขึ้นสู่ภูคันจ้อง บ.คำด้วง

ต.คำด้วง อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี

ภูคันจ้องลักษณะเป็นภูเขาสูงโดดเด่นอยู่บนเทือกเขาภูพาน

ซึ่งมีหินลักษณะเหมือนร่มกันฝนอยู่บนยอดเขา ภาษาชาวบ้านเรียกว่า

จริงสำหรับกันฝน บางคนก็เรียกภูจ้อง บนยอดภูมีเพิงหินและถ้ำ

สามารถอยู่ภาวนาโดยไม่ต้องทำกุฏิ หลวงปู่ได้เดินสำรวจดูแล้วรู้สึก

ว่าถูกใจมาก เพราะอยู่ไกลจากหมู่บ้านห่างไกลความเจริญเหมาะ

สำหรับทำความเพียรภาวนาฆ่ากิเลสเป็นที่สุด ท่านให้ญาติโยมทำ

แคร่ในถ้ำบนยอดเขา เพื่อเป็นที่อยู่ของท่าน สวนพระเณรลูกหลาน

ก็หาอยู่ตามเพิงหินและถ้าตามแต่ความต้องการ ญาติโยมชาวบ้าน

คำด้วงคอยให้ความสะดวกในการตกแต่งที่อยู่อาศัย ภูคันจ้องไม่มี

แหล่งน้ำฉัน เพราะเป็นเขาสูง น้ำฉันน้ำใช้ญาติโยมต้องช่วยกัน

หลับไปถวาย ถนนลำบากมากรถยนต์ไม่สามารถไปถึง ส่วนมากใช้

รถอีแต๊ก ซึ่งดัดแปลงจากรถไถนาเดินตาม เป็นรถลากถึงจะขึ้นไป

ได้ ต่อมามีญาติโยมศรัทธาในตัวท่าน จึงช่วยกันเลื่อยไม้สร้างศาลา

หลังเล็ก ๆ มุงสังกะสี เพื่อรองรับน้ำฝน ญาติโยมได้ช่วยกันซื้อโอ่ง

สำหรับใส่น้ำมันขึ้นไปถวายท่าน ช่วงตั้งวัดใหม่ ๆ ญาติโยมที่ไปวัด

ต้องตกน้ำไปด้วย เพราะบนเขาไม่มีน้ำ แต่ก็เหมือนโชคช่วย

หลวงปู่ท่านได้ให้ญาติโยมขุดบ่อน้ำช่วงตีนเขา ปรากฏว่ามีน้ำพอได้

อาบได้ใช้ห่างจากศาลาประมาณ ๕๐๐ เมตร ช่วงแรก ๆ มีพระเณร

ขึ้นไปศึกษากับท่านประมาณ ๗ - ๘ รูป พระเณรต้องทำที่พัก

ตามถ้ำไม่มีกุฏิ เพราะวัดซึ่งตั้งใหม่และหลวงปู่ท่านไม่ให้ทำ ท่านได้

อบรมพระเณรที่ขึ้นไปศึกษากับท่าน ท่านว่า การที่ผมมาอยู่ที่นี่ไม่

ได้มาสร้างวัด แต่ผมมาเพื่อภาวนาทำความเพียรตามหลักคำสอน

ของพระพุทธเจ้า ซึ่งองค์ทรงสรรเสริญการอยู่ป่าตามถ้ำเงื้อมผา

ฉะนั้น ผมจึงให้ญาติโยมทำแคร่ พอพักอาศัยเท่านั้น เพิงหินและ

ถ้ำก็กันฝนได้แล้วที่สำคัญทางเดินจงกรม จะต้องมีทุกรูป ท่วมก็ขุด

หลุมทำเป็นส้วมปล่อยก็พอ เพราะการอยู่ในสภาพนี้ทำให้จิตใจของ

เราตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา ทำให้ไม่ประมาทในการทำความเพียรใน

การทำสมาธิ เพื่อทำสัญญาให้แจ้งในขันธ์ทั้งหลาย การบิณฑบาต

ระยะทางประมาณนี้ ผมว่าพอดีสำหรับพระหนุ่ม ๆ ซึ่งเป็นการ

ฝึกหัดไปในตัว เวลาบิณฑบาตขอให้ทุกองค์ตั้งใจว่า เรากำลังเดิน

จงกรมภาวนาอย่าคุยกัน เดินห่างกันพอประมาณ องค์ไหนภาวนา

พุทโธก็กำหนดในใจว่าเราจะตั้งใจไว้ พุทโธทั้งไปและกลับ องค์ไหน

ภาวนาอานาปานุสติ ก็ตั้งใจไว้ที่ลมหายใจเข้าออก ไม่ให้ใจส่ายแส

ไปไหน หรือองค์ไหนจะทบทวน ปาติโมกข์ก็ให้นึกในใจ เพราะ

การท่องออกเสียงจะทำให้รบกวนคนอื่นทุกอิริยาบถการไป การมา

ขอให้เป็นการภาวนาจึงจะไม่เสียเวลา ในการขึ้นมาอยู่บนเขาเมื่อ

พวกท่านตั้งใจมาศึกษา ผมก็พร้อมที่จะแนะนำสั่งสอนเต็มความ

สามารถ หลวงปู่เข้มงวดมากในข้อวัตรปฏิบัติ ถ้ำที่หลวงปู่พักอยู่

บนยอดเขาห่างจากศาลาประมาณ ๑ กิโลเมตร พระเณรก็อยู่รอบ ๆ

ท่าน ตอนเช้าประมาณตี ๔ หลวงปู่ท่านก็จะเดินลงมาจากยอดเขา

ท่านมักจะใช้โคมเทียน ส่วนไฟฉายนานๆ ก็จะใช้ทีหนึ่ง ส่วนพระ

เณรก็ต้องลงมาแต่เช้า เพื่อจัดที่ฉันอาหารที่ศาลา พอเสร็จก็นั่ง

ภาวนาอยู่ไม่ให้คุยกัน หลวงปู่พอท่านลงมาถึงศาลา หลังจากกราบ

พระประธานท่านก็จะนั่งภาวนา พอสว่างได้อรุณท่านก็ห่มผ้าจีวร

ช้อนด้วยสังฆาฏิ ส่วนพระเณรก็เหมือนกันค่อยเดินจากศาลามุ่งเข้า

สู่หมู่บ้าน ต่างองค์ต่างเดิน ส่วนหลวงปู่ท่านก็จะเดินตามท้าย ๆ

พอบิณฑบาตออกมาพ้นหมู่บ้าน พระเณรก็รับบาตร เดินก่อน

ต้องเปลี่ยนกันครึ่งทาง เพราะระยะทางไกล วัดห่างจากหมู่บ้าน

ประมาณ ๖ กิโลเมตร ไปกลับก็ประมาณ ๑๒ กิโลเมดร ใช้เวลา

ประมาณ ๓ ซั่วโมงไปกลับ นับว่าต้องอดทน โดยเฉพาะหน้า

ร้อนยิ่งต้องอดทนเป็นอย่างมากพอกลับมาถึงวัดหลังจากผึ่งผ้าแล้ว

เมื่อหลวงปู่มาถึงพักนิดหน่อย แล้วก็จัดอาหารใส่บาตรด้วยความ

ระมัดระวัง อาหารทุกอย่างจัดลงในบาตร ส่วนฝาบาตรก็ใส่น้ำไว

สำหรับล้างมือ หลวงปู่ท่านจะคอยสังเกตดูว่าเสร็จหรือยัง

การฉันอาหารท่านจะฝันเงียบมาก แทบจะไม่มีเสียงทุกอย่าง

ท่านทำด้วยสติไม่ยอมให้เผลอไม่ว่าอิริยาบถใด

หลังจากฉันเสร็จแล้ว ล้างบาตรเสร็จช่วยกันทำข้อวัตร ปัดกวาด

เช็ดบริเวณศาลาให้สะอาด แล้วค่อยกลับที่อยู่ของตน ตอนเย็น

ประมาณ ๑๕.00 น. พระเณรปัดกวาดจากที่พักของตนลงมาที่ศาลา

ส่วนหลวงปู่ท่านก็ปัดกวาดลงมาที่ศาลา และฉันน้ำปานะร่วมกัน

เท่าที่มี บางครั้งก็ต้มน้ำยาสมุนไพรที่ญาติช่วยกันหามาให้ หลวงปู่

ท่านไม่ค่อยฉัน นาน ๆ จะฉันน้ำยาสมุนไพรครั้งหนึ่ง ท่านบอกว่า

การฉันน้ำร้อน น้ำชา กาแฟมาก ๆ รบกวนเวลาภาวนา เดี๋ยวก็

ปวดเบาบ่อย ๆ รำคาญ หลังจากฉันน้ำปานะเสร็จ ก็ไปสรงน้ำที่

บ่อน้ำร่วมกัน หลวงปู่ท่านก็ไปด้วย ถึงแม้พระเณรญาติโยมจะ

นิมนต์ท่านไม่ต้องลงมาสรงน้ำที่บ่อก็ได้ จะตักน้ำไปไว้ให้สองที่ถ้ำ

ท่านก็ไม่ยอม ท่านบอกว่ายังช่วยตัวเองได้อยู่ หลวงปู่ท่านไม่

ต้องการให้ลูกศิษย์กังวลใจการให้ลูกศิษย์กังวลใจกับท่าน

หลังจากสรงน้ำเสร็จ ทุกองค์จะ

ต้องหิ้วน้ำองค์ละ ๒ แกลลอน เพราะเอาไว้ล้างบาตรของตนเอง

ในวันพรุ่งนี้ต้องช่วยเหลือตนเอง และอีก ๑ แกลลอนก็ต้องเอาไป

ที่พักของตนเอง เพื่อเอาไว้ข้างหน้า บ้วนปาก แปรงฟันและเอาไว้

ล้างเท้าหลังจากเดินจงกรมเสร็จ หลวงปู่ท่านก็ทำเหมือนกัน โดย

ทาให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่ลูกศิษย์ พอถึงวันพระ ๘ ค่ำ ๑๕ ค่ำ

ท่านก็พานั่งภาวนารวมกันที่ศาลาจนสว่าง พอสว่างก็จัดที่ฉัน ท่านก็

พาพระเณรลงรับบิณฑบาตที่หมู่บ้านตามปกติ หลวงปู่ท่านไม่แสดง

ความอ่อนแอท้อแท้ให้ปรากฏ ถึงแม้จะภาวนาอดหลับอดนอนทั้ง

คืนมาแล้ว ทั้งที่ท่านอายุก็มากแล้ว แต่ความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญใน

การปฏิบัติภาวนา ทำให้บรรดาลูกศิษย์มีกำลังใจในการปฏิบัติ

หลวงปู่ท่านทำเสมอต้นเสมอปลายไม่มีมารยา พูดอย่างไรปฏิบัติ

อย่างนั้น ตามปกติหลวงปู่พูดน้อย เวลาพูดก็พูดเรื่อง

ธรรมะปฏิบัติ เรื่องโลก เรื่องสงสารการบ้านการเมือง หลวงปู่

ไม่พูดให้ลูกศิษย์ฟังเลย พูดแต่เรื่องอรรถเรื่องธรรมเท่านั้น



ในปี แรกข องหลวงปู่

ท่านฝึกหัดบรรดาพระเณรที่เป็น

ลูกศิษย์อย่างเต็มที่ โดยท่านทำเป็นตัวอย่าง ไม่ว่าการนั่ง

ภาวนา หรือการเดินจงกรมในหนึ่งวันนั้นการปฏิบัติของ



ท่านตอนเช้าหลังฉันเสร็จ ล้างปากชำระฟันเสร็จ พระเณรเก็บผ้า เก็บ

บาตรของท่านที่บนถ้ำที่ท่านอยู่ พอท่านกลับถึงถ้ำกราบพระเสร็จ

ท่านจะนั่งพิจารณาอาหารก่อนว่าที่เราฉันวันนี้มีอะไรบ้าง

ตอนแรก

มีลักษณะอย่างไร ท่านก็จะพิจารณาตามหลักของความเป็นจริง หลัง

จากเราเคี้ยวแล้วเป็นอย่างไร เมื่อกลืนลงท้องแล้วมีลักษณะอย่างไร

ท่านว่าเมื่อเราพิจารณาดูตามหลักของความเป็นจริงแทบจะฉัน

อาหารไม่ลง เพราะอาหารความจริงคือของปฏิกูลโดยแท้ อาหารที่

ว่าดีมีความสะอาดพอมาเคี้ยวกินเป็นอาหาร เวลาเราคายออกมา

แล้วแม้แต่เราก็กลืนไม่ลง แล้วถ้าคนอื่นจะขนาดไหน การพิจารณา

อย่างนี้ ท่านว่าเพื่อตัดความโลภในอาหาร จิตใจจะไม่ปรุงแต่งใน

เรื่องอยู่เรื่องกิน เมื่อเห็นตามหลักของความเป็นจริงแล้ว อาหารก็

เป็นเพียงเครื่องหล่อเลี้ยงร่างกายพอเป็นไป ถึงเราหามาบำรุงขนาด

ไหน ร่างกายอันนี้ ก็คงจะถาวรไปไม่ได้ การกินอาหารก็เพียงระงับ

เวทนาไม่ให้เกิดขึ้นนั่นเอง หลวงปู่ท่านระวังมากในเรื่องอาหาร

สิ่งไหนผิดกับโรคในร่างกายของท่านจะไม่ฉันเด็ดขาด ถึงแม้อาหาร

นั้นจะดีเลิศขนาดไหนก็ตาม

หลังจากพิจารณาอาหารเสร็จท่านก็

เดินจงกรมก่อน ท่านจะไม่นอน ท่านจะเดินจงกรมจนถึงเวลาประมาณ

๑๑.00 น. ท่านจึงจะหยุดพักผ่อนแล้วประมาณ ๑๓.00 น. ท่าน

ก็จะออกมาเดินจงกรมจนถึงเวลาประมาณ ๑๕.00 น. ท่านก็หยุด

พักเพื่อทำกิจวัตรประจำวันไม่เคยขาด หลังจากสรงน้ำเสร็จเวลา

ประมาณ ๑๗.00 น. ท่านก็จะเดินจงกรมอีกจนค่ำ ท่านจึงจะพัก

หลังจากทำวัตรสวดมนต์เสร็จ ท่านก็จะนั่งภาวนาอย่างน้อย ๔ ทุ่ม

จึงจะพักผ่อน ตอนเช้าประมาณ ตี ๓ ท่านก็จะลุกทำวัตรสวดมนต์

นั่งภาวนาจนถึงเวลาใกล้บิณฑบาตท่านก็จะไปที่ศาลา หลวงปู่ท่าน

ปฏิบัติของท่านมาตั้งแต่วันบวชโดยบังคับตัวของท่านเอง ปีแรก ๆ

ความเป็นอยู่ก็ลำบาก แต่ท่านก็อยู่ได้โดยไม่กังวล พอปีต่อมา

ศรัทธาญาติโยมเริ่มรู้จักท่านด้วยเกียรติคุณในการปฏิบัติ ได้มี

ญาติโยมถวายจตุปัจจัยสร้างอ่างเก็บน้ำขึ้นที่บนยอดเขาหนึ่งแห่ง

และที่ข้างศาลาอีกหนึ่งแห่งเพื่อกักเก็บน้ำไว้ใช้ในหน้าแล้ง และทำ

ฝายกั้นน้ำเพิ่มขึ้นอีก ซึ่งตอนแรกก็พอใช้เนื่องจากญาติโยมที่รู้จัก

ท่านยังมีน้อย ส่วนมากพระภิกษุสามเณรที่มาศึกษากับท่านไม่เคย

ขาดไม่ว่าหน้าแล้งหรือหน้าพรรษา ซึ่งหลวงปู่ท่านก็รับไว้ด้วยความ

เมตตา ซึ่งท่านพูดเสมอว่าพระผู้ปฏิบัติตามหลักธรรมคำสอนของ

พระพุทธเจ้าจริง ๆ รู้สึกจะมีน้อยมากในขณะนี้ ส่วนมากจะเน้นหนัก

ในการก่อสร้างวัดถุภายนอก ซึ่งไม่ตรงกับคำสอนของพระพุทธเจ้า

ปัจจุบันนี้ก็มีแต่หลวงตามหาบัว วัดป่าบ้านตาดเท่านั้นทีเป็น

ร่มโพธิ์ร่มไทรของพระกรรมฐานแทบทั้งหมดที่สมควรเอาเป็นแบบ

อย่างเป็นที่เกาะทียึดไม่ว่าขั้นไหนภูมิไหน หลวงปู่ท่านไม่ค่อย

เทศน์นอกจากว่ามีพระเณรหรือฆราวาสปฏิบัติไม่ถูกต้อง ท่านถึงจะ

พูดเพื่อเตือนสติ วันพระ ๘ ค่ำ ๑๕ ค่ำ หลังจากทำวัตรสวด

มนต์เสร็จ ท่านก็ให้เปิดเทปเทศน์ให้พระเณรฟัง โดยจะเปิดแต่

เทศน์ของหลวงตามหาบัวเท่านั้น ท่านบอกกับบรรดาลูกศิษย์เสมอว่า

หลวงตามหาบัวท่านเทศน์แต่เรื่องการปฏิบัติเท่านั้น ไม่มีเรื่อง

ของโลกเข้ามายุ่งเกี่ยว มีแต่ธรรมเพื่อชำระกิเลสโดยแท้ ขอให้

ท่านฟังแต่เทศน์ของหลวงตามหาบัวเท่านั้นก็พอแล้ว ขอให้พวก

ท่านตั้งใจปฏิบัติตามแบบฉบับของท่าน ส่วนตัวผมก็ปฏิบัติตาม

อย่างท่านเทศน์อะไรออกมาหาที่ค้านไม่ได้เลย แม้แต่ตัวของผมก็

ปฏิบัติมาแบบเดียวกัน หลวงปู่ท่านพยายามคัดค้านไม่อยากให้

ญาติโยมสร้างถนนขึ้นไปวัด เพราะจะทำให้การไปมาสะดวกจะทำให้

ญาติโยมขึ้นมารบกวนการภาวนาของพระเณร แต่ชาวบ้านเขาก็ไม่

ยอมพยายามทำถนนขึ้นไปจนได้รับความสะดวกในการไปการมา

ของญาติโยมทางใกล้ทางไกลได้เดินทางมาทำบุญรับฟังพระธรรม

เทศนาจากท่านเกิดความเลื่อมใส ได้ช่วยกันก่อสร้างเสนาสนะ ตกแต่ง

ตามถ้ำต่าง ๆ เพื่อพระภิกษุสามเณรได้อยู่อาศัย เนื่องจากพระเณร

ญาติโยมมีจำนวนมากขึ้นทุกปี ประมาณปี พ.ศ. ๒๕๓๙ ได้มีโยม

จากกรุงเทพฯ ได้มาพักภาวนาเป็นครั้งแรก มีพระเณรจำพรรษา

๑๕ รูป หลวงปู่ท่านได้พาปฏิบัติอย่างเต็มที่ โดยท่านพานั่งภาวนา

ตลอดคืน ในวันพระ ๘ ค่ำ ๑๕ ค่ำ หลวงปู่ท่านมีความเมตตา

ต่อลูกศิษย์เป็นอย่างยิ่ง ท่านปฏิบัติเห็นผลมาอย่างไร ท่านอยากให้

ลูกศิษย์ได้เห็นผลสิ่งนั้น ในปีนี้ความเป็นอยู่ของพระเณรโดยเฉพาะ

เรื่องอาหารต่าง ๆ อุดมสมบูรณ์มาก จนหลวงปู่ต้องพูดเตือนสติ

พระเณรอยู่เสมอ ไม่ให้ฉันมากให้พยายามผ่อนอาหารลงบ้าง เพราะ

การฉันมากทำให้ง่วงภาวนาลำบาก โดยเฉพาะจำพวก หมู่พวกไก่

สู้ฉันน้ำพริกกับพวกหน่อไม้ไม่ได้ ฉันของตามป่าตามดงนี้แหละ

ไมมีพิษมีภัย ภาวนาก็ดีไม่ง่วงเหงาหาวนอน ผมคอยสังเกตดูสมัย

อยู่วัดป่าหนองกอง อาหารมาก มีแต่อาหารไขมัน วันไหนฉันมาก ๆ

อยากจะนอนตั้งแต่อยู่ศาลา พอเดินถึงกุฏิไม่อยากเดินจงกรม

ภาวนาเพราะมันง่วง พวกท่านยังหนุ่มยังน้อยระวังนะ ไข่นี้แหละ

เป็นตัวเสริมกามราคะเป็นที่หนึ่งเลย เคยสังเกตดูไหม อย่าเห็นแก่

ปากแก่ท้อง หลวงปู่ท่านจะคอยดูลูกศิษย์ทั้งภายนอกภายใน

วันหนึ่งตอนกลางวันท่านพักผ่อนได้มีพวกเทวดาได้มากราบเรียน

ท่านให้ไปดูพระหน่อยกลัวท่านจะคอหัก พอท่านลุกขึ้นจึงพิจารณาดู

จึงลุกเดินไปดูพระที่ถ้ำใกล้ ๆ ท่าน พอไปถึงเห็นพระนั่งหลับคอพับ

อยู่ ท่านได้แต่ปลงธรรมสังเวช เหตุนี้เองเขาจึงไปกราบเรียนท่าน

เขากลัวพระจะคอหักตาย โดยเฉพาะเวลาพระเณรหรือญาติโยมทำผิด

หลวงปู่ท่านจะทราบพอถามท่าน ท่านจะบอกว่าเทวดาเขามาฟ้องว่า

พระเณรองค์ไหนทำผิดอะไร แต่ถ้าเป็นเรื่องเล็กน้อย ท่านจะคอย

เตือนไม่ให้ประมาท โดยเฉพาะตอนกลางคืนตากผ้าต้องฝากในร่ม

ภายในกุฏิ ห้ามตากไว้ตามราวข้างนอก ที่อยู่ที่อาศัยต้องทำความ

สะอาดอยู่เสมอ การไปการมาต้องระวังอย่าให้เทวดาเขาตำหนิว่า

เราไม่มีข้อวัตรปฏิบัติไม่สมที่เรามาบวชเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า

หลวงปู่ท่านเทศน์เสมอว่า อารมณ์เกิดจากการพูด อยากพูดมาก

พูดเสียแต่น้อย อยากพูดน้อยไม่พูดเสียดีกว่า เพราะพูดมาก

ย่อมคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง พอออกพรรษามีการทอดกฐิน

เสร็จแล้วตอนกลางคืนมีการฟังเทศน์นั่งภาวนาตลอดคืนโดยหลวงปู่

ได้พูดว่า เป็นการภาวนาฉลององค์กฐิน หลังจากเสร็จจากการ

ทอดกฐินแล้ว ได้นำจตุปัจจัยก่อสร้างเสนาสนะต่าง ๆ เพิ่มขึ้นตาม

ลำดับ ญาติโยมก็เพิ่มขึ้น น้ำไม่พอใช้ หลวงปู่ท่านได้ดำริว่า จะ

สร้างศาลาที่ใหม่ เพราะศาลาหลังเก่ารู้สึกจะคับแคบ ประกอบกับ

น้ำไม่พอใช้ไม่พอฉัน บรรดาลูกศิษย์ทางกรุงเทพฯ จึงได้จองกฐิน

เพื่อนำปัจจัยมาก่อสร้างศาลาหลังใหม่ ก็เหมือนกับสร้างวัดใหม่

เนื่องจากห่างจากศาลาหลังเก่า ประมาณ ๑ กิโลเมตร ฉะนั้นหลวงปู่

จึงได้ทำฝายกั้นน้ำอีก ขุดสระเพิ่มขึ้นเพื่อกักเก็บน้ำไว้ใช้ในหน้าแล้ง

ตอนแรกสระน้ำขาดทั้งที่ทำอย่างดี หลวงปู่สงสัยว่าทำไมถึงขาดได้

หลวงปู่เลยได้บอกญาติโยมให้สร้างกุฏิให้ท่านใกล้ ๆ ก้บสระน้ำที

ขาดบ่อย ๆ เพื่อจะดูว่าเพราะเหตุใด หลวงปู่ท่านได้จ้างรถให้ไปทำ

สระน้ำขึ้นใหม่อีก พอทำเสร็จแล้วพอเข้าช่วงฤดูฝน ฝนก็ตกน้ำก็มี

ปริมาณมากขึ้น คืนหนึ่งท่านภาวนาอยู่ มีชายคนหนึ่งใหญ่มากเดิน

มาจะเอาไม้เท้าแทงคูสระน้ำให้รั่ว แต่หลวงปู่เห็นก่อน จึงพูดเตือน

ว่าอย่าทำนะ คนและสัตว์ต้องอาศัยน้ำขาดน้ำไม่ได้ ทำอย่างนั้นมัน

กรรมหนัก ไม่ได้กินข้าวกินแต่น้ำยังอยู่ได้หลายวัน อย่ามา

เบียดเบียนกันนะ ถ้าขืนทำจะเห็นดีกัน ลดเสียมั่งทิฐิมานะของไม่ดี

เก็บเอาไว้ทำไม เจอไม้เด็ดเข้าถึงกับคุกเข่าลงกราบแบบไม่รู้ตัว หลวง

ปู่พูดแล้วก็หยุดหัวเราะ หลวงปู่ว่าพวกพญานาคเขาเป็นสัตว์เดรัจฉาน

เวลาเขาโกรธเขาจะทำลายทันที หลังจากนั้นมาฝายกั้นน้ำและสระ

น้ำก็ไม่ขาดอีก ในช่วงที่กำลังก่อสร้างศาลาต้องใช้น้ำมาก เพราะ

พร้อมกันหลายอย่าง ถังเก็บน้ำ ห้องน้ำ รวมทั้งสร้างกุฏิเพื่อถวาย

หลวงปู่ด้วย อยู่ห่างจากศาลาประมาณ ๒๐๐ เมตร จะมีถ้ำมีน้ำ

ใสสะอาดเหมาะสำหรับจะนำมาใช้ เพราะน้ำจะไหลออกมาไม่แห้ง

แม้จะเป็นหน้าแล้งก็ตาม พอสร้างถังเก็บน้ำเสร็จ พระลูกศิษย์เลย

ไปซื้อเครื่องสูบน้ำมาติดตั้งบริเวณปากถ้ำที่มีน้ำไหลออกมา พอเอา

เครื่องไปสูบเครื่องก็พัง พอซ่อมแล้วเอาสูบอีกเครื่องก็พังอีก พระ

ลูกศิษย์จึงมากราบเรียนหลวงปู่ หลวงปู่ท่านจึงได้พิจารณาดูว่า

พญานาคกลัวน้ำจะหมดและเอาเครื่องสูบน้ำไปตั้งบนหลังคาบ้านเขา

เขารำคาญ นอนไม่ได้จีงทำเครื่องสูบน้ำพัง หลวงปู่จึงสั่งพระลูกศิษย์

ให้เก็บเครื่องสูบน้ำ พวกนี้เขาหวง เมื่อไม่ให้ก็ไม่เอา หลวงปู่จึงได้

ทำสระน้ำเพิ่มขึ้นอีกสองแห่ง เพื่อจะกักเก็บน้ำให้พอเพียงในหน้าแล้ง

หลวงปู่พูดอีกว่าตอนที่เราทำฝายขุดสระข้างบน พวกนี้ก็กลัวน้ำจะ

ไม่ไหลไปหาเขาเพราะเขาอาศัยอยู่ในน้ำ แต่ก่อนหวงฝายกั้นน้ำสระ

น้ำรั่วก็เพราะพวกนี้แหละ มันฉลาดแกมโกง พอเรามีน้ำพอใช้

แล้วกลับมาบอกให้เราไปสูบน้ำมาใช้ ถ้าหลวงปู่ต้องการน้ำ ทีเรา

ขาดแคลนน้ำไม่ให้ ข้างก็ไม่เอาไม่ง้อ หลวงปู่พูดจริงจังและก็หัวเราะ

นาน ๆ ท่านจะพูดครั้งหนึ่งทำเอาลูกศิษย์ทั้งตื่นเต้นไปตาม ๆ กัน การ

ก่อสร้างต่าง ๆ สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ด้วยแรงศรัทธาของบรรดา

ลูกศิษย์ที่เคารพในองค์หลวงปู่ โดยเฉพาะลูกศิษย์ทางกรุงเทพฯ ที่

เป็นหัวเลี้ยวหัวแรงเกือบทุกอย่าง ลูกศิษย์ทางอุดรธานี บ้านผือ

และชาวบ้านคำด้วงต่างก็ชวยกันก่อสร้างเสนาสนะต่าง ๆ งานจึงไม่

หยุดชะงักและสำเร็จลุล่วงด้วยดี สำหรับพระภิกษุสามเณรหลวงปู่

ไม่อยากให้พระภิกษุสามเณรไปยุ่งกับการงานให้โยมเขาทำเอง ใน

ช่วงที่หลวงปูอายุย่างเข้าสู่วัยชรา ท่านได้เมตตาเล่าเรื่องต่าง ๆ ที่

ท่านเคยประสบมาให้บรรดาลูกศิษย์ฟังเพื่อเป็นเครื่องเตือนสติ ไม่

ให้ประมาท ซึ่งเป็นสิ่งที่ท่านแสดงออกมาจากการปฏิบัติของท่านเอง



โดยได้พูดถึงสถานที่ต่าง า ที่ท่านเคยปฏิบัติโดยได้เล่าให้บรรดาลูก

ศิษย์ฟังตามแต่เวลาจะอำนวย หลวงปู่ท่านชอบพูดถึงถ้ำแก้ว ว่าเป็น

สถานที่สัปปายะเหมาะสำหรับภาวนา สงบร่มเย็น ลูกศิษย์กราบ

เรียนถามท่านว่า ทำไมจึงเรียกว่าถ้ำแก้ว หลวงปู่ได้เมตตาเล่าเรื่อง

ครั้งภาวนาอยู่ที่ถ้ำแก้วแต่ก่อนเขาเรียกว่าภูบักแตก ปัจจุบันเรียกถ้ำ

แก้ว เรื่องมีอยู่ว่าหลังจากเดินจงกรมแล้วไหว้พระสวดมนต์ นั่งภาวนา

เมื่อจิตสงบได้มีภูมิเทวดาองค์หนึ่งเดินเข้ามาแล้วนั่งกราบเอามือล้วง

เข้าไปในย่ามหยิบวัตถุสิ่งหนึ่งขึ้นมา มีลักษณะเรียวยาวสวยงาม

ใหญ่ขนาดแขนมีสีสวยงาม หลวงปู่ถามว่ามาจากไหน ภูมิเทวดา

องค์นั้นตอบว่า กระผมอาศัยอยู่ในถ้ำข้างล่างห่างจากกุฏิหลวงปู่นี้ครับ

หลวงปู่ถามว่ามาอะไร กระผมเอาแก้ววิเศษมาถวายหลวงปู่ครับ

กระผมเคยถวายหลวงปู่หล้า ขันติโก ท่านก็ให้เก็บไว้ท่านไม่เอา

กระผมจึงเอามาถวายหลวงปู่ ผมเข้าอยู่นานแล้ว ผมจะได้ไปเกิด

หลวงปู่นั่งพิจารณาพวกนี้จะลองใจเราว่าจะเป็นผู้มักมากในสิ่งเหล่า

นี้ไหม แม้หลวงปู่หล้ายังไม่เอา เราจะเอาในสิ่งที่หลวงปู่หล้ายังไม่

เอาหรือ เราออกบวชเมื่อออกจากทุกข์ในวัฏฎสงสาร หาธรรม

อันเลิศ ประเสริฐกว่าสิ่งใดในโลก มรรคผลคือสิ่งทีเราต้องการ

หลวงปู่จึงถามว่าแก้วนี้ดีอย่างไร เขาตอบว่าแก้วนี้เป็นแก้วสารพัดนึก

เหาะเหินเดินอากาศได้ตามต้องการครับ หลวงปู่บอกให้เขาเอาเก็บ

ไว้ใช้เองเถอะ อาตมาออกบวชเมื่อละสิ่งทั้งมวล แม้ครอบครัวไร่

นาสมบัติก็สละแล้ว เก็บเอาไว้ให้เจ้าของเขาเถอะอาตมาไม่เอา

หรอกหลวงปู่หยุดเรื่อง แล้วแสดงธรรมว่า การภาวนาในป่าเขา

ย่อมมีอะไรแปลก ๆ มาหลอก ก็อย่าไปหลง ให้ดูที่จิต ดูความ

เคลื่อนไหวของจิต ความคิดความปรุงแต่งในรูป-เสียง-กลิ่น-รส-

สัมผัส - กาย-ใจ ตา เป็นต้น ก็เข้าถึงใจให้ระวัง ตัวจริงอยู่ใน

จิตใจไม่ใช่ภายนอก จิตนี้ไม่เคยตาย แตกสลายเพียงธาตุขันธ์ จิต

เป็นผู้เวียนว่ายตายเกิด กิเลสมีอยู่ในจิตใจ สติเป็นเครื่องมือสกัด

กั้นกิเลส ปัญญาพิจารณาสาเหตุและผล กำหนดดูร่างกาย

พระไตรปิฎกทั้ง๓ คัมภีร์มีอยู่ในกาย อย่าเหินห่างจากธรรมวินัย

อดทนต่อสู้พระพุทธเจ้าเป็นยอดนักรบ พวกเราเป็นบุตรนักรบต้องรบจน

เลือดหยดสุดท้าย รักษาให้ดี ระเบียบ ธรรมวินัย เดินตามหลัก

ธรรมวินัย คือหนทางแห่งความพ้นทุกข์ ทั้งในปัจจุบันและอนาคต



-ธรรมเป็นยอดโอสถ

หลวงปู่ได้แสดงเรื่องระดับโรคด้วยธรรม เมื่อครั้งเกิดเป็น

ไข้ป่าต่อสู้ด้วยใจมีสติธรรม ปัญญาธรรม วันหนึ่งหลังจากเดิน

จงกรมเสร็จ ก็ไปนั่งถ่ายเบา คนเป็นไข้ตัวร้อน (ทั้งเยี่ยว ทั้งตด)

มันออกตามธรรมชาติเป็นเรื่องธรรมดา หลวงปู่ได้ยินเสียงหัวเราะ

พิจารณาดูก็รู้ว่าเป็นเทวดา ไม่ใช่มนุษย์ท่านจึงพูดว่า จะมาหัวเราะ

ทำไม มันก็เหมือนกันนั่นแหละไปหาหยูกหายามาไป บอกพวก

มนุษย์หายามาไป แล้วก็ขึ้นกุฏิภาวนาต่อ กำหนดจิตพิจารณา

เวทนาที่เกิดขึ้นในร่างกาย โรคกายก็ส่วนหนึ่ง ซึ่งเกิดจากความผิด

ปกติของธาตุขันธ์ เพราะร่างกายเป็นเรือนของโรค ความคิดปรุง

แต่งยึดในทุกข์เวทนาที่เกิดขึ้น อยากให้มันหาย เมื่อไม่หายก็ทุกข์

หนักเข้าไปอีก ของเก่าก็เต็มอยู่ในใจ ราคะตัณหา ความโกรธ ความ

หลงมีเป็นทุนเดิม เมื่อทุกข์เกิดก็อยากให้ทุกข์หาย เมื่อสุขเกิดก็

อยากให้สุขอยู่เช่นนั้น เมื่อไม่ได้ดังใจก็ทุกข์ พอพิจารณาแล้วก็

กำหนดดูจิต เมื่อจิตรวมเป็นหนึ่งเดียว เวทนาได้หายไปหมด มีเพียง

ผู้รู้เท่านั้น เมื่อจิตถอนออกมากำลังของสมาธิก็ข่มเวทนาทั้งหมด

พอตอนเช้าก็มีชาวบ้านนาเก็นเอาทั้งข้าวทั้งยาขึ้นไปถวาย หลวงปู่พูด

ทิ้งท้ายว่า "เทวดานี้ก็ดีนะ"



- หลวงปู่รู้ภาษาสัตว์ (อึ่งอ่างจีบกัน)

วันหนึ่งนั่งภาวนาอยูนถ้ำพอจิตสงบ ขณะนั้นฝนตกได้ยินเสียง

ผู้หญิงผู้ชายพูดกัน เสียงผู้ชายถามว่า “ มีคู่หรือยัง “ ฝ่ายหญิงตอบ

“ยังไม่มี เป็นสาวอยู่” “ ถ้าอย่างนั้นเราอยู่ด้วยกันนะ” “ อยู่ก็ได้” เสียงเงียบ

ไปพักหนึ่ง เสียงผู้หญิงพูดว่า “น้ำมีน้อยกลับไม่พอ” เสียงผู้ชายพูดว่า

“เดี๋ยวฝนก็ตกมาอีก” แล้วเสียงก็เงียบหายไป เมื่อจิตถอนออกจากสมาธิ

ท่านคิดว่าเป็นชาวบ้านมาหาเก็บผัก ซึ่งเสียงนั้นอยู่ตรงมุมปากถ้ำ

ใกล้กับที่ท่านอยู่ จึงลุกไปดู เห็นเพียงอึ่งอ่างสองตัวกำลังจับคู่กัน

อยู่ในน้ำที่กั้นไว้ ซึ่งมีนิดเดียว หลวงปู่จึงพิจารณาดูรู้ว่า ราคะ

ตัณหามีอยู่ทุกตัวสัตว์ ทั้งมนุษย์และสัตว์เดรัจฉานนั้นไม่มีโรงเรียน

สอน ท่านก็รู้ว่าจิตนี้ไม่ตาย มีอัตภาพร่างกายตามวิบากกรรม ให้

เป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นมนุษย์ สูงต่ำ ยากดีมีจน คือ ผลของกรรม

ทั้งนั้น



- นกสองผัวเมียคุยกัน

วันหนึ่งหลังจากหลวงปู่สรงน้ำเสร็จ ท่านได้ให้พระลูกศิษย์

นวดขาให้ มีนกคู่หนึ่งทำรังอยู่ใกล้กุฏิของหลวงปู่ บังเอิญวันนั้นนก

ก็ส่งเสียงร้องผิดปกติ คล้ายบ่นอะไรสักอย่างอีกตัวก็ร้องจิ๊บ ๆ แจ๊บ ๆ

แล้วหยุด ส่วนอีกตัวหนึ่งนั้นร้องดังและบ่อย หลวงปู่ท่านก็นั่งนิ่งอยู่

สักครู่หลวงปู่ท่านก็ยิ้ม แล้วถามพระเณรว่ารู้ไหมว่านกเขาพูดอะไรกัน

ไม่รู้ครับ นกที่ร้องอยู่ไม่ขาดเสียง คือนกตัวเมีย มันบอกผัวว่า “ไม่รู้

จักทำมาหากินวัน ๆก็เฝ้าอยู่” ตัวผู้พูดว่า “เป็นห่วงกลัวจะมีแฟนใหม่”

ตัวเมียบอกว่า “จะมาหึงหวงทำไมลูกก็มีด้วยกันแล้ว” หลวงปู่พูดไป

ยิ้มไป มันก็หึงหวงเหมือนมนุษย์ นกตัวผู้มันขี้เกียจ นกตัวเมีย

มันก็บ่น มนุษย์และสัตว์มันไม่ต่างกัน ผิดกันตรงสังขารร่างกาย

สติปัญญาความรู้ความสามารถ ถ้ามีครอบครัวก็ต้องเจอเหมือนกัน

มีเมียก็ห่วง มีลูกก็ต้องหาเลี้ยง จำเอานกคู่นี้ไปพิจารณาสอนตนเองนะ



- อดีตชาติของหลวงปู่ เคยเกิดเป็นไส้เดือน

หลวงปู่เน้นหนักเรื่องการรักษาศีล ภาวนา อันเป็นเครื่อง

ถอดถอนกิเลส เพราะหลวงปู่รู้แจ้งเห็นจริงแล้ว จึงบอกให้ลูกศิษย์

ประพฤติปฏิบัติ แสดงออกแต่ละบทแต่ละบาทไม่สะทกสะท้านพูด

อย่างอาจหาญ หลวงปู่ท่านเคยเล่าว่า ครั้งหนึ่งท่านเคยเป็นไส้เดือน

เพราะไปล้อมรั้วสวนแล้วล้ำเอาที่ดินเขาแค่ไม่ถึงศอก ตายไปตกนรก

พอหxxxรรมจากนรกขึ้นมา ต้องมาใช้เศษผลกรรม จึงได้มาเกิด

เป็นไส้เดือนตรงที่เอาที่ดินของเขานั้นเอง จนหมดเศษกรรม



- คู่บารมีในอดีตชาติของหลวงปู่

คืนหนึ่งหลวงปู่ท่านนั่งภาวนาอยู่พอจิตของท่านสงบอยู่ได้

กลิ่นหอมลอยเข้ามาใกล้ จึงกำหนดดู เห็นเหล่าเทพธิดานางหนึ่ง

สวยงามมากด้วยเครื่องประดับอลังการ มีบริวารนับร้อยเขามา

แล้วกราบนิมนต์ให้หลวงปู่ขึ้นไปชมสวรรค์ หลวงปู่ก็เดินขึ้นรถที่

เทียมด้วยม้ามีสิบตัวแต่งเป็นสองแถว ม้ามุ่งหน้าสู่วิมานหลังใหญ่สี

แดงสวยงามพิสดาร นางเทพธิดาผู้เป็นใหญ่บอกกับหลวงปู่ว่า

วิมานนี้ได้สร้างไว้เมื่อครั้งเป็นมนุษย์กับท่าน เชิญท่านมาอยู่เถิดมา

พักผ่อนที่นี่ก่อน หลวงปู่ตอบว่าจะไปอยู่ในที่ไม่เคยอยู่ไม่เคยไป

เทพธิดาครั้งหนึ่งเคยเป็นคู่บารมีในอดีตชาติอันยาวนานก็อนุโมทนา

นำรถเทียมม้ามาส่งที่กุฏิ จากนั้นหลวงปู่ก็กำหนดดูว่า เมื่อเขาอยู่

บนสวรรค์ เราอยู่ที่ไหน เห็นตัวเองตกนรกเสวยทุกขเวทนาแสน

สาหัสหาความสุขไม่มีเลย ส่วนเขาเสวยสุขเพราะกรรมอะไรเป็นเหตุ

ปรากฏเห็นชายคนหนึ่งทำงานหนักตกเย็นเข้าป่าล่าสัตว์ ตัวเล็กตัวน้อย

ปูปลา เอาทั้งนั้นเพราะต้องเลี้ยงลูกเลี้ยงเมีย มีภาระมาก ส่วน

ภรรยาเข้าวัดทำบุญ รักษาศีล ตายไปเราตกนรกส่วนเขาขึ้นสวรรค์

เสียเปรียบเขาว่าแต่ตัวเองเก่ง ความจริงไม่มีใครเก่ง ไม่ว่าหญิง

หรือชาย ถ้าเก่งจริงก็ต้องรักษาศีลภาวนาปฏิบัติให้ได้เอาให้ดีนะ

เราเป็นนักบวชอย่าให้เสียเปรียบผู้หญิงเขานะ ผมเคยเป็นมาแล้ว

ใน เรื่อง เหล่านี้



- เคยเกิดเป็นพระราชา

หลวงปู่ท่านเล่าว่าครั้งหนึ่งท่านเคยเกิดเป็นพระราชา

ปกครองบ้านเมือง เพราะบุญเก่าเคยสร้างมา หลงอำนาจวาสนา

ขาดศีลธรรมใช้อำนาจบาตรใหญ่ บังคับขู่เข็ญเห็นแก่ตัวดูอย่างผม

นี่เสียงแหบแห้ง พูดมากก็ไม่ได้เสียงก็ขาด ๆหาย ๆ เป็นเพราะเศษ

กรรมเก่าเมื่อครั้งเป็นพระราชา มีอำนาจตัดสินคดีความ จะเฆี่ยนตี

ก็เพราะพระราชาสั่ง จะตัดหัวก็เพราะพระราชาสั่ง ไม่พอใจด่าว่า

สารพัด นี้เห็นหรือยังกรรมตามมาให้ผล เหตุที่ทำให้ขาเจ็บนิ้วก็งอ

เวลาเดินก็เจ็บ เพราะเศษกรรมเก่าเมื่อครั้งเป็นพระราชาใช้เท้าเตะ

นักโทษที่กระทำความผิดกรรมจึงมาให้ผลในชาตินี้ การมีครอบครัว

มาบวชภาวนายาก คนหนุ่มไม่มีครอบครัวมาบวชมันไม่ลำบาก ถ้า

อดทนสู้ ครูบาอาจารย์ยังพอมีอยู่ให้เร่งภาวนา เพราะโลกทุกวันนี้

คนมีศีลธรรมน้อย ยักษ์มารเปรตผีมีมากโลกนี้จึงวุ่นวาย นับวันก็

จะยิ่งวุ่นวาย ธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นน้ำดับไฟในใจของผู้ปฏิบัติ

ตามหลักของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถึงโลกนี้เขาจะเดือดร้อนแต่เรา

เย็นสบาย เพราะใจมีสติปัญญาคอยอบรมสอนใจอยู่เสมอ สุขย่อม

มีอยู่อย่างนั้น





-เปรตขอส่วนบุญ

คราวหนึ่งมีคนตายในหมู่บ้าน เขานิมนต์พระไปสวดมาติกา

บังสุกุล หลวงปู่ได้ให้พระเณรไป หลวงปู่ท่านไม่ไปเพราะส่วนมาก

งานศพจะมีการเลี้ยงสุรา เล่นการพนันด่าง ๆ ท่านว่าเป็นการ

ทำบุญที่ไม่ถูกต้องตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า พอพระภิกษุ

สามเณรไปเผาศพที่ป่าช้าเสร็จ ก็เก็บเอาสิ่งของที่เขาทิ้งตามป่าช้า

โดยถือว่าบังสุกุล พอจะกลับพระรูปหนึ่งเลย พูดว่า ใครจะไป

รับส่วนบุญทีวัดภูคันจ้องขึ้นรถ พอรถวิ่งออกจากป่าช้าเสียงรถนั้น

ก็เหมือนรถบรรทุกของหนัก เณรที่นั่งมาก็หันซ้ายหันขวาแล้วบอก

ว่าเหมือนมีอะไรอยู่ข้าง ๆ ดูสิขนลุก พระตอบว่าสงสัยจะตามมาเอา

เสียม ที่เอามาด้วย พอรถมาถึงเขตวัดเป็นทางขึ้นเนิน แต่รถมีเสียง

เบา ตกเย็นหมาก็เห่าหอนผิดปกติ ตนเช้าหลวงปู่พูดว่า พอพระ

กลับมาหมดมันหอน ขณะเดินจงกรมอยู่จึงหยุด ยืนกำหนดดู เห็น

เปรตสองตนยืนอยู่ข้างศาลา (ศาลาหลังเก่า) ตัวสูงเท่าศาลา ตามตัว

มีตุ่มเท่ามะกรูดมะนาว หลวงปู่จึงถามว่ามาอะไร เปรตตอบว่ามา

ขอส่วนบุญครับได้ยินชื่อหลวงปู่มานานแล้วแต่มาไม่ถูก หลวงปู่

ถามว่าวันนี้ทำไมถึงมาได้ เปรตตอบว่าพระที่วัดหลวงปู่เรียกให้ขึ้น

รถมาด้วยครับถึงได้มาถูก หลวงปู่จึงแผ่เมตตาอุทิศให้ แล้วถามว่า

ทำกรรมอะไร เป็นใคร มาจากไหน เปรตสองตนเงียบไปครู่หนึ่ง

ตอบว่ากระผมเป็นทายกที่วัดเอาของสงฆ์ จึงเป็นเปรต อดอยากมา

นานได้ยินชื่อหลวงปู่แต่มาไม่ถูก พึ่งได้รับส่วนบุญวันนี้เองขอรับ

ประพฤติผิดศีลธรรม เอาของสงฆ์ตายไปเป็นเปรตใช้กรรมอีกนาน

ถึงจะพ้น อย่าขี้เกียจขี้คร้านในการสร้างความดี นรกมี มนุษย์มี

สวรรค์มี โลกมนุษย์เป็นแดนกลางเป็นแหล่งสร้างความดี มนุษย์ที

เกิดมาพบพระพุทธศาสนาเป็นลาภอันประเสริฐเป็นของยากที่จะเกิด

มา เป็น มนุษย์



- ประวัติอาการอาพาธของหลวงปู่คำตา ทีปังกโร

ในปี พ.ศ. ๒๕๔๕ นั้น หลวงปู่จะหยิบยกเรื่องของหลวงปู่ชอบ

อยู่เสมอ คือท่านบอกว่าดูอย่างหลวงปู่ชอบท่านเป็นพระอรหันต์

กรรมยังไม่เว้น กรรมตามให้ผลแค่ร่างกาย แต่จิตของท่านหลุดพ้น

ไปแล้ว หลวงปู่พูดเรื่องนี้สามครั้งและยังย้ำว่าต่อไปก็จะไม่พูดไม่สอน

ไม่พาน่งภาวนาอย่างนี้อีก ให้ทำเองพาทำมานานแล้ว อยู่ที่บ้านก็

ทำ เอง

วันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๔๕ ตอนเช้าวันนั้นหลวงปู่ไม่ออก

บิณฑบาต พอพระเณรกลับจากบิณฑบาต มีพระรูปหนึ่งเข้าไป

กราบเรียนถามเพราะเห็นลักษณะผิดปกติ แขนด้านขวามีรอยถลอก

พระรูปนั้นถามหลวงปู่ว่าล้มหรือครับ หลวงปู่ตอบว่าใช่ไม่เป็นไร

พร้อมยกแขนขึ้นให้ดูพร้อมกับรอยยิ้มที่เปี่ยมด้วยเมตตา หลังจาก

ฉันข้าวเสร็จ หลวงปู่กราบพระแล้วลุกไม่ขึ้น พระเณรต้องพยุงกลับ

กุฏิ พอตกตอนเย็นก็ขยับตัวลุกไม่ขึ้น พระเณรต้องผลัดเปลี่ยนกัน

เข้าเวรคอยดูแล คราวละ ๒ รูป ต้องคอยอยู่ข้างตลอดรุ่ง ถึงจะ

ลำบากขยับไม่ได้ ลูกไม่ได้ เพราะครึ่งหนึ่งเป็นอัมพาตไม่มีแรง

ยกเลย แต่หลวงปู่ก็นั่งโดยเอาหมอนรองด้านหลังและข้างถ้านั่งนาน

บางครั้งช่วงแรก ก็ ๑ ชั่วโมง ในหนึ่งวันก็จะมีพระหนึ่งรูปเข้าเวร

พอถึงตอนเย็น ๖ โมงก็เข้ากุฏิเพราะอากาศหนาว วันหนึ่งหลวงปู่

จะนั่งตั้งแต่ ๖ โมงเย็นถึง ๓ ทุ่ม พอจะพักก็บอก พอดีสองหลวงปู่

ก็จะเรียกพระเพราะปวดเบา พระจะถามหลวงปู่ว่าหนาวไหมครับ

หลวงปู่ ปวดขาไหม หลวงปู่บอกว่าหนาวอยู่ ปวดขาอยู่ แต่ก็แค่

นั้นแหละ พอตี ๓ หลวงปู่ก็นั่งภาวนาต่อจนถึง ๖ โมงเช้า ถึงหลวงปู่

จะพูดไม่ชัด แต่ก็แสดงธรรมด้วยการปฏิบัติให้เห็นถึงความอาจหาญ

ไม่หวั่นไหว สองสามเดือนแรกก็พอขยับได้แต่ต้องพยุง หลังจาก

นั้นก็เดินได้แต่ต้องอาศัยไม้เท้าช่วยเดิน ไม่ใช้รถเข็นโยมนำมาถวาย

หลวงปู่ก็ยังเดินขึ้นลงศาลาและกุฏิอยู่อย่างนั้น ก่อนเข้าพรรษา๑ เดือน

หลวงปู่ลงอุโบสถด้วย วันนั้นถามหลวงปู่ว่า นั่งรถเข็นนะครับหลวงปู่

และเอารถเข็นเข้ามา หลวงปู่ยิ้มแล้วพูดว่าเอามาลองดูซิ หลังจาก

นั้นก็นั่งขึ้นลงศาลาเป็นประจำ ในวันเข้าพรรษาตอนเช้าท่านพูดกับ

พระเณรที่คอยปฏิบัติว่า ช่วงนี้เหนื่อยมากไม่พ้นพรรษานี้หรอก

หลังจากฉันข้าวเสร็จ คณะลูกศิษย์ที่มาจากกรุงเทพฯและชาวบ้าน

ได้ตามไปที่กุฏิ หลวงปู่ก็บอกว่าเหนื่อยมากคงไม่พ้นพรรษานี้ แล้ว

อาการป่วยก็ทรุดลง มีไข้เป็นบางวัน พอวันที่ ๑๒ สิงหาคม เป็น

วันอุโบสถ หลวงปู่ก็มาประชุมฟังเทศน์ โดยเปิดเทปม้วนหลักใจ

ของหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโนเพราะส่วนมากก็ฟังแต่หลวงตา

บ้านตาด ฟังเทศน์จบหลวงปู่ก็ถามญาติโยมว่าต่ออีกไหมฟังเทศน์

เข้าใจไหมไม่ฟังก็เลิกกัน พอหลังจากนั้นก็เอารถเข็ญมารับหลวงปู่

ขึ้นกุฏิ พอรุ่งขึ้นวันใหม่อาการของหลวงปู่ก็ทรุดหนัก หลังจาก

อาหารเสร็จหลวงปู่ก็นั่งตัวโก่ง ฉันข้าวไม่ได้จนผิดสังเกต มีพระ

กราบนิมนต์หลวงปู่ฉันข้าว หลวงปู่ก็บอกว่าไม่ฉัน แล้วโยมก็

นิมนต์หลวงปู่ให้ฉันก็ตอบเหมือนเดิมว่าไม่ฉัน ถ้าหลวงปู่ไม่ฉันข้าว

ก็ขอนิมนต์หลวงปู่ขึ้นไปพักผ่อนที่กุฏิก่อนขอรับ หลวงปู่ก็ตอบว่าไป

ตั้งแต่วันนั้นมาหลวงปู่ก็ฉันข้าวลดลงเรื่อย ๆ ร่างกายก็อ่อนเพลียมี

ไข้เป็นระยะ พอตกตอนเย็นก็จะมีไข้หนักตัวร้อนและสั่น อาการ

ของหลวงปู่เป็นอย่างนี้ได้ ๖-๗ วัน คณะศิษย์ได้ปรึกษาหารือกันว่า

นิมนต์หลวงปู่ไปพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช

อำเภอท่าบ่อ ซึ่งคณะศิษย์ได้ติดต่อกับทางโรงพยาบาลแล้ว คณะ

ศิษยานุศิษย์ได้เข้าไปกราบเรียนหลวงปู่ ไปรักษาตัวที่โรงพยาบาล

เพื่ออาหารจะดีขึ้น หลวงปู่ทานก็นิ่งเฉยไม่พูดอะไร พอกราบเรียน

เป็นครั้งที่ ๒ หลวงปู่ก็ตอบว่า "อื้อ" ทางโรงพยาบาลได้นำรถมารับ

หลวงปู่อยู่ที่วัด หลวงปู่ท่านพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลหกวัน ขณะ

ที่หลวงปู่ได้รับการรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลนั้น อาการของหลวงปู่

ก็ดีขึ้นตามลำดับ ในวันที่ ๒๕ หลวงปู่เพียร วิริโย วัดป่าบ้าน

หนองกองได้ไปเยี่ยมหลวงปู่ที่โรงพยาบาล ตอนเช้าวันที่ ๒๖ หลวง

ปู่ ก็กลับมาพักรักษาตัวอยู่ที่วัด เมื่อกลับมาอยู่วัดอาการของหลวงปู่

ก็กำเริบอีกมีแต่ทรงกับทรุด คณะศิษย์ได้นิมนต์หลวงปู่ไปรักษาตัวอีก

ครั้งแรกหลวงปู่ก็นิ่งเฉย ครั้งที่ ๒ หลวงปู่จึงบอกว่าไป และอยู่

รักษาตัวที่โรงพยาบาลหนองคาย ๓ วัน อาการก็ยิ่งทรุดลงทุกวัน

วันที่ ๒ กันยายนตอนเช้าก็สุดความสามารถของหมอ หลวงปู่ออก

จากโรงพยาบาลมาอยู่วัด เวลา ๑๓.00 น. จนถึงเวลา ๑๔.๑๔ น

หลวงปู่ก็มรณภาพ ตรงกับวันอังคารที่ ๒ กันยายน ๒๕๔๖

สิริอายุ ๗๖ ปี ๓๐ พรรษา

ประชุมเพลิงศพหลวงปู่

พอหลวงปู่ท่านมรณภาพ หลวงปู่เพียร วิริโย ท่านได้มา

เป็นประธานการประชุม เพื่อจัดงานประชุมเพลิงศพหลวงปู่ โดย

ได้ตกลงกันว่าจะทำแบบเรียบง่าย ไม่เก็บศพไว้นานจะเป็นภาระแก่

บรรดาลูกศิษย์เราเป็นนักปฏิบัติต้องทำแบบพระกรรมฐานจริง ๆ ทำ

อะไรต้องพอเหมาะพอดี ไม่ใช่ทำอวดโลกอวดสงสาร เมื่อประชุม

เสร็จก็ตกลงกันว่าจะเอาไว้ ๕ วัน มีเวลาเตรียมงาน ๔ วัน บรรดา

ลูกศิษย์แบ่งงานกัน เนื่องจากมีเวลาน้อย ประกอบกับอยู่ในช่วง

พรรษา ศพหลวงปู่ตั้งที่ศาลาใหม่ ไม่มีการสวดอภิธรรมในตอนเย็น

โดยตั้งไว้ให้ญาติโยมสักการบูชาไม่มีทอดผ้าบังสุกุล ก่อนหลวงปู่

มรณภาพได้สั่งว่า ถ้าท่านตายไปไม่ต้องสวดมาติกาบังสุกุล ท่าน

บอกว่าท่านสวดมาพอแล้วให้เผาเลย บุญไม่ได้อยู่ทีการสวดมาติกา

บุญอยู่กับการกระทำของตนเองต่างหาก บรรดาพระภิกษุ-สามเณร

ที่เคยเป็นลูกศิษย์ของท่าน เมื่อทราบข่าวได้มาช่วยงานเป็นจำนวนมาก

ต่างก็ช่วยกันคนละไม้คนละมือ ทั้งญาติโยมก็ช่วยกันอย่างเต็มที

เพียง ๔ วัน ทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย

วันที่ ๗ กันยายน ๒๕๔๖ เวลา ๑๓.00 น. พระสงฆ์สวด

มาติกาบังสุกุล โดยมีหลวงปู่บุญมี ปริปุณโณ วัดป่านาคูณ เป็น

ประธาน หลวงปู่เพียร วิริโย วัดป่าหนองกอง หลวงปู่ลี กุสลธโร

วัดผาแดง อ.หนองวัวซอร่วมสวดมาติกาบังสุกุล เวลาประมาณ

๑๔.00 น. ประชุมเพลิงศพหลวงปู่ เวลา ๑๕.00 น. พระสงฆ์เจริญ

พระพุทธมนต์ ตอนเย็นเวลา ๑๙.00 น. ทำวัตรเย็น ญาติโยม

อาราธนานิมนต์ พระอาจารย์อุทัย ธัมมธโร วัดภูย่าอู่ แสดงพระธรรม

เทศนาจนถึงเวลาอันสมควร เวลาประมาณตี ๓ เก็บอัฐิหลวงปู่ ตอนเช้า

พระภิกษุ - สามเณรรับบิณฑบาตรอบศาลาการเปรียญญาติโยม

ถวายภัตตาหารแด่พระภิกษุ-สามเณร จากนั้นอุบาสก - อุบาสิกา

ที่มาร่วมงาน รับประทานอาหารร่วมกันเสร็จพิธี



ภายหลังเก็บอัฐิหลวงปู่เรียบร้อยแล้ว ปะมาณ 2 อาทิตย์ปรากฏพระธาตุที่แปรสภาพจากอัฐิ และอังคารจำนวนมากมาย ซึ่งครูบาอาจารย์สำคัญองค์หนึ่งได้กล่าวว่า ท่านหมดความลังเลสงในองค์หลวงปู่ท่านนี้อยู่แล้ว

ผู้ภาพพระธาตุจากผงอังคาร ภายหลังประชุมเพลิง 2 อาทิตย์



ผู้ส่ง : สุจินต์

[17.12.2547 | 19:39]

อี-เมลล์ :sujin1234@hotmail.com







 
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง