Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 หลวงปู่เหรียญ วรลาโภท่านเป็นพระชั้นอริยบุคคล ( พระอรหันต อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
อิติปิโส
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 15 ก.ค.2005, 3:44 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ใครไม่รู้จักหลวงปู่เหรียญ วรลาโภ ( พระอรหันต์ องค์ปัจจุบัน )



ฝากท่านเวบมาสเตอร์ประชาสัมพันธืงานหลวงปู่ด้วยครับ



หลวงปู่เหรียญ วรลาโลมหาเถระ (พระสุธรรมคณาจารย์ )



วัดอรัญบรรพต อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย

หลวงปู่ได้เมตตาเล่าไว้ในอัตตโนประวัติของท่านไว้ว่า ท่านเกิดในครอบครัวชาวนา ในนามสกุล ใจขาน เมื่อวันที่ 8 มกราคม 2455



ครอบครัวมีอาชีพทำนา ทำสวนและเลี้ยงสัตว์ มีพี่น้องด้วยกัน 7 คนแต่ได้เสียชีวิตตั้งแต่ยังเล็กทุกคน เมื่อหลวงปู่มีอายุได้ 10 ขวบ มารดาท่านก็ได้เสียชีวิตลง ไม่นานบิดาท่านก็มีภรรยาใหม่ หลวงปู่จึงได้ไปอยู่อาศัยกับคุณยายจนอายุได้ 13 ปีเรียนหนังสือจบ ท่านจึงได้ย้ายไปอยู่กับบิดา ช่วยบิดาและมารดา ทำงานร่วมกับพี่น้อง ที่เป็นลูกของมารดาใหม่อย่างขยันขันแข็ง ครั้นเมื่อท่านมีอายุได้ 20 ปี ก็มีความปรารถนาจะออกบวช โดยพิจารณาเห็นว่าชีวิตนี้เกิดมาแล้ว ทำงานไม่รู้จักจบจักสิ้น ตายแล้วก็ไม่ได้อะไรติดตัวไป โลกนี้มีทั้งสุขและทุกข์ แต่ความสุขที่ว่านี้เป็นความสุขชั่วคราวที่ไม่ยั่งยืน มันเป็นเพียงเหยื่อล่อ ให้คนเราติดอยู่ในทุกข์เท่านั้น คนเราเกิดมาแล้วที่สุดก็ต้องตายด้วยกันทุกคน ร่างกายนี้เมื่อจิตละไปแล้ว ก็ต้องแตกสลายออกจากกัน ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย



เมื่อพิจารณาดังนี้แล้ว ท่านจึงไปขออนุญาตบิดาและมารดาเพื่อขอลาบวช เมื่อท่านบิดาได้อนุญาตแล้ว ท่านก็ได้บวช ณ อุโบสถวัดบ้านหงษ์ทอง มีท่านพระครูวาปีดิฐวัตร เป็นพระอุปัชฌาย์ มีพระอาจารย์พรหม เป็นพระกรรมวาจาจารย์ เมื่อเดือนมกราคม 2475 บวชแล้วจึงกลับมาอยู่วัดโพธิ์ชัย บ้านหม้อ โดยท่านอาจารญ์วัดโพธิ์ สอนให้ท่านภาวนาอนุสติ10 ท่านก็ได้ท่องเอา แล้วบริกรรมไปเรื่อยๆตั้งแต่พุทธานุสติ ธรรมานุสติ ไปจนถึงอุปสมานุสติแล้วจึงตั้งใหม่ ครั้นถึงเดือนพฤษภาคมปีนั้นเอง ท่านจึงได้ไปจำพรรษาอยู่ ณ วัดศรีสุมัง ท่านจึงได้เข้าไปเรียนถามวิธีเจริญภาวนา กับท่านอาจารย์บุญจันทร์ รองเจ้าอาวาส ซึ่งได้รับคำสอนให้เลือกเอากรรมฐานบทใดบทหนึ่ง ที่ถูกกับนิสัยของตน บริกรรมเฉพาะบทเดียวเท่านั้น พร้อมกับแนะนำให้บริกรรมพุทโธเป็นอารมณ์ ท่านจึงได้บริกรรมพุทโธมาตั้งแต่นั้น



พอถึงเดือนธันวาคม สอบนักธรรมเสร็จ ท่านจึงได้เดินทางกลับวัดโพธ์ชัย ในระหว่างนั้นบิดาท่านได้นำหนังสือของท่านพระอาจารย์สิงห์ ขันตยาคโม มาถวายหลวงปู่ เมื่ออ่านแล้วท่านรู้สึกสนใจในเรื่องกายานุปัสสนา ซึ่งในหนังสือได้แนะนำ ให้พิจารณากายแยกย่อยไปเป็นส่วนต่างๆ ให้สติได้รู้ว่า ร่างกายนี้ไม่ได้มีอะไรเป็นของตนสักอย่างเดียว เมื่อท่านพิจารณาได้ดังนี้จึงมีดำริจะออกไปอยู่ในป่า แต่ท่านก็ยังไม่อาจตัดสินใจได้เพราะใจหนึ่งอยากสึกไปครองเรือน แต่อีกใจหนึ่ง อยากออกปฏิบัติธรรมตามที่ตั้งใจไว้ ท่านจึงได้นั่งสมาธิตัดสินใจ แล้วท่านก็ได้คำตอบว่าไม่สึกถึง3ครั้ง ซึ่งไม่นานท่านจึงได้ ออกจากวัดไปอยู่ป่าที่ ผาชัน ริมฝั่งแม่น้ำโขง พร้อมกับศึกษาต่อกับท่านอาจารย์กู่ ธัมมทินโน ซึ่งท่านก็ได้รับฟังจนเข้าใจดี



หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ วัดอรัญบรรพต อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย ธรรมยุติ

พรรษาที่ 1 ถึง พรรษาที่ 5 ครั้นปี 2476 หลวงปู่ได้พบกับท่านอาจารย์บุญมา ฐิตเปโต ( ท่านเป็นพระอรหันต์ ) ท่านอาจารย์บุญมาได้พาท่านไปบวชเป็นธรรมยุติที่วัดโพธิสมภรณ์ อุดรธานี ในพรรษาแรก ท่านได้ไปจำพรรษาอยู่ที่วัดป่าสาระวารี จ.อุดรธานี เมื่อออกพรรษาแล้วท่านจึงได้ธุดงค์ขึ้นไปพักวิเวก ที่ถ้ำผาปู่ และถ้ำผาบิ้ง จังหวัดเลย พอปี2477ท่านจึงได้กลับลงมาจำพรรษาที่วัดอรัญวาสี จ.หนองคาย



ในพรรษานี้ ท่านเล่าว่าท่านได้ตั้งใจบำเพ็ญเพียรอย่างหนัก ซึ่งท่านมีความตั้งใจดังนี้คือ .

1.จะไม่นอนกลางวัน

2.เมื่อค่ำลงจะทำความเพียร จนถึง 4 ทุ่มจึงจำวัด พอถึงตี 2 จึงลุกขึ้นทำความเพียรต่อ จนถึงสว่าง พอออกพรรษา ท่านจึงได้ธุดงค์ไปอยู่ที่ถ้ำผาบิ้งอีก พอถึงเดือนหก จึงกลับมาที่วัดป่าบ้านค้อ ในวันออกพรรษาปีนั้นเอง ท่านก็เกิดรักผู้หญิงเข้าคนหนึ่ง ท่านจึงได้รีบหนีกลับมา อยู่ที่วัดอรัญญบรรพต แต่ก็ไปเกิดรักใหม่จนท่านตัดสินใจว่าจะลาสึก และจึงได้ดินทางไปหาพระอุปัชฌาย์เพื่อลาสึก แต่ในคืนวันนั้นเอง ท่านได้พิจารณาเห็นถึงความทุกข์ในโลก จนในที่สุดท่านจึงคลายจากความอยากสึกลง

จากนั้นท่านจึงได้กลับไปจำพรรษาที่วัดป่าสาระวารีอีกครั้ง เป็นพรรษาที่3 พอย่างเข้าเดือน10 ท่านก็ล้มป่วยลง พอออกพรรษา บิดาจึงได้พาท่านกลับมารักษาตัว ที่วัดอรัญญบรรพต ท่านเล่าว่าเจ็บครั้งนั้นเกือบเอาชีวิตไม่รอด ครั้นต่อมาการภาวนาก็ทำให้จิตสงบลงเรื่อยๆ จนสงบดีแล้ว แต่พอมีเรื่องต่างๆเข้ามากระทบ เช่นทางตา ก็ทำใจจิตใจหวั่นไหว แก้อย่างไรก็ไม่ตก ท่านจึงได้คิดถึงท่านอาจารย์มั่น ทั้งๆที่ท่านไม่ได้รู้จักเลย เพียงแต่เคยได้ยินมาว่าท่านเป็นผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ หลวงปู่จึงได้ชวนเพื่อนภิกษุรูปหนึ่ง เดินทางมาหาท่านอาจารย์มั่นด้วยกันที่ จ.เชียงราย



ในคืนวันหนึ่งที่ยังเดินไปไม่ถึงหมู่บ้าน จึงนอนอยู่ในป่าข้างทาง คืนนั้นท่านได้นิมิตเห็นท่านอาจารย์มั่น พอถึงรุ่งเช้าท่านก็ได้ทราบว่าเพื่อนภิกษุก็ได้นิมิตเห็นท่านอาจารย์มั่นเช่นกัน พอสอบถามถึงลักษณะที่ปรากฏก็ทราบว่าเป็นเช่นเดียวกัน ถือว่าเป็นนิมิตหมายอันดี ทำให้ท่านแน่ใจว่า จะต้องได้พบท่านอาจารย์มั่นอย่างแน่นอน ครั้นเมื่อเดินทางไปถึง จ.เชียงใหม่ ไปที่วัดเจดีย์หลวง ได้พบกับหลวงตาเกต ซึ่งได้พาท่านไปพบพระอาจารย์มั่น ที่ป่าละเมาะใกล้ๆโรงเรียนแม่โจ้ ในวันนั้นท่านอาจารย์ได้ให้โอวาทแก่หลวงปู่ว่า ธรรมดาเขาทำนาทำสวน เขาไม่ได้ทำใส่บนอากาศเลย เขาทำใส่พื้นดินนี้แหละจึงได้รับผล ฉันใด โยคาวจรผู้บำเพ็ญเพียรทั้งหลาย ควรพิจารณาร่างกายนี้แหละเป็นอารมณ์ จนเกิดนิพพิทาความเบื่อหน่ายในนามในรูปนี้ ด้วยอำนาจแห่งปัญญานั้นแหละ จึงจะเป็นทางหลุดพ้นได้ ไม่ควรติดในความสงบโดยส่วนเดียว หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ วัดอรัญบรรพต อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย ธรรมยุติพรรษาที่ 6 ถึง พรรษาที่ 18 ในพรรษาที่ 6 ท่านได้รับการแต่งตั้งจากท่านพระอาจารย์มั่นให้จำพรรษาที่ อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ พร้อมกับพระอาจารย์เนียม และพระอาจารย์อ่อนศรี ครั้นออกพรรษาแล้วจึงได้ออกธุดงค์ ไปบนเขาดอยพระเจ้า พร้อมกับท่านพระอาจารย์มั่น และพระรูปอื่น รวม 6 รูปด้วยกัน

พบพระอาจารย์ใหญ่หลวงปู่มั่นพร้อมน้อมเป็นลูกศิษย์

นับตั้งแต่หลวงปู่ได้พบท่านพระอาจารย์มั่น ในปี 2481 เป็นต้นมา หลวงปู่ก็ยิ่งเลื่อมใสท่านพระอาจารย์มั่นมากขึ้นตามลำดับ ท่านจึงตัดสินใจธุดงค์อยู่ทางภาคเหนือต่อ จำพรรษาที่เชียงใหม่รวมทั้งสิ้น 10 ปี และ อ.เถิน จ.ลำปาง อีก 3 ปี ซึ่งในครั้งนั้นมีพระอาจารย์ที่ร่วมธุดงค์ด้วยทางภาคเหนือ ได้แก่ ท่านพระอาจารย์มั่น ท่านพระอาจารย์กู่ หลวงปู่สิม หลวงปู่ชอบ และหลวงปู่ขาว เป็นต้น โดยในพรรษาที่ 7-9 ได้อยูจำพรรษากับท่านอาจารย์กู่ และท่านอาจารย์สิมที่วัดสันต้นเปา จ.เชียงใหม่ และในพรรษาที่ 10 ได้จำพรรษาอยู่ที่สำนักสงฆ์แม่หนองหาร กับหลวงปู่ชอบ ซึ่งในพรรษานั้นหลวงปู่ชอบได้มาชวนให้ท่านไปธุดงค์ที่ประเทศพม่า แต่ท่านลองนั่งสมาธิแล้วเห็นว่า หนทางไม่ปลอดโปร่ง ท่านจึงได้ปฏิเสธหลวงปู่ชอบไป ซึ่งในภายหลัง ท่านได้พบกับหลวงปู่ชอบอีกครั้ง ท่านจึงได้ถามถึงการไปพม่า ซึ่งได้รับคำตอบว่าไปพม่าครั้งนั้น ได้รับความลำบากมาก



ตั้งแต่พรรษาที่ 11-14 ท่านได้อยู่จำพรรษาที่สำนักสงฆ์ ในระหว่างนี้ท่านได้พบกับหลวงปู่ชอบ และหลวงปู่ขาว จึงได้ชวนกันไปวิเวกตามเขาและถ้ำ แต่ในภายหลังหลวงปู่ขาวไม่สบาย ท่านจึงกลับลงมา แต่ไม่นานหลวงปู่ชอบก็ชวนขึ้นไปอีก ท่านเล่าว่าในคืนหนึ่ง ขณะที่นั่งสมาธิอยู่ ก็เกิดความรู้สึกในจิตว่า "ระวังอย่าประมาท คืนนี้เสือใหญ่มา" ท่านจึงได้นั่งสมาธิอยู่ ก็ไม่เห็นมีอะไร นานเข้าท่านจึงจำวัด รุ่งเช้าท่านก็ไดไปปฏิบัติท่านอาจารย์ชอบ พร้อมเรียนถามท่านว่าเห็นนิมิตอะไรหรือไม่ ก็ได้รับคำตอบว่าเห็นอุบาสกมาบอกให้ระวังเสือ ท่านจึงได้นั่งสมาธิคอยแต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เมื่อหลวงปู่เหรียญทราบดังนั้นแล้ว ท่านจึงได้ไปสำรวจรอบๆที่พัก ก็ได้เห็น รอยเสือคุ้ยดินเป็นระยะๆ เมื่อท่านออกบิณฑบาต ก็เห็นรอยเสืออยู่ตามทาง ท่านจึงได้แผ่เมตตาให้ ซึ่งหลังจากนั้นก็ไม่มีเสือไปหาอีกเลย ในพรรษาที่ 15 และ 17-18 ได้จำพรรษาอยู่ที่ อ.เถิน จ.ลำปาง ซึ่งระหว่างที่หลวงปู่ได้จำพรรษาอยู่ที่ จ.ลำปาง นี้ ก็ได้พาบิดาไปบวช ณ วัดเชตวัน จ.เชียงใหม่ และได้อุปการะท่านมาโดยตลอด และในพรรษาที่ 16 ได้ไปจำพรรษาที่ จ.เชียงใหม่ ไม่นานท่านก็ได้ไปธุดงค์ต่อที่ประเทศลาว



ที่นั่นท่านได้เห็นนิมิตอนาคตของประเทศลาว ได้ความว่าต่อไปประเทศลาวจะหาความสงบได้ยาก ท่านจึงเดินทางกลับประเทศไทย หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ วัดอรัญบรรพต อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย ธรรมยุติพรรษาที่ 19 ถึง ปัจจุบัน เมื่อหลวงปู่กลับมาประเทศไทย ท่านก็ได้เจอกับหลวงปู่เทสก์ ซึ่งหลวงปู่เทสก์ก็ได้ชวนท่านไปเผยแผ่ธรรมะทางภาคใต้ ซึ่งในการเดินทางครั้นนั้น มีทั้งพระและเณร รวมทั้งหมด 9 รูป ในระหว่างเดินทางทางเรือ ท่านก็ได้พิจารณาเห็นธรรมะดังนี้ "เรือที่นายช่างต่อดีแล้วอย่างแข็งแรง เมื่อถูกคลื่นกระทบแล้วไม่เสียหายฉันใด จิตของบุคคลใดเมื่อฝึกฝนให้ดีแล้ว คลื่นของกิเลสกระทบเข้าย่อมไม่หวั่นไหวก็ฉันนั้น" ดังนั้นในพรรษาที่ 19-20ท่านจึงจำพรรษาที่สำนักสงฆ์ ต.ตะกั่วทุ่ง จ.พังงา 2 พรรษา เมื่อออกพรรษาแล้วจึงไปวิเวกตามถ้ำใน จ.พังงานั้นเอง ครั้นเมื่อใกล้จะเข้าพรรษาก็ได้มีผู้นิมนต์ให้จำพรรษาที่เมืองพังงา ขณะที่ท่านได้ไปบำเพ็ญอยู่ที่ถ้ำหลักเมือง หน้าถ้ำมีศาลเจ้าพ่อหลักเมืองตั้งอยู่ มีการขอบัตร ขอเบอร์ ทรงเจ้า ฆ่าสัตว์สังเวยทุกปี



วันแรกก่อนที่ท่านจะเข้าถ้ำ ท่านจึงเข้าไปในศาล เห็นหิน 2 ก้อนฝังดินอยู่ แต่พ้นดินอยู่ส่วนหนึ่ง ท่านจึงสวมรองเท้าขึ้นไปเหยียบหินทั้ง 2 ก้อนแล้วกล่าวว่า ได้ยินว่าเจ้าพ่อหลักเมืองมาอาศัยอยู่ที่นี้หรือ ถ้ามาอยู่ที่นี่จริงขอให้เจ้าพ่อคอยฟังธรรมะนะ อาตมาจะแสดงธรรมให้ญาติโยมฟังอยู่หน้าถ้ำนี้แหละ แล้วท่านก็เข้าไปในถ้ำ บำเพ็ญสมณธรรมได้ 2 เดือน ก็มีโยมเข้าไปสร้างศาลาหลังเล็กๆให้ ต่อมาก็มีผู้ซื้อที่ดินจัดทำเสนาสนะให้อยู่จำพรรษา มีพระจำพรรษาด้วยกัน 5 รูป มีญาติโยมไปนั่งสมาธิและฟังธรรมทุกคืน ในวันอุโบสถวันหนึ่ง มีชายคนหนึ่งซึ่งไปดูการเข้าทรงมา มาจำศีลอุโบสถที่วัด เล่าว่าในวันที่มีการเข้าทรงกัน เจ้าพ่อในร่างคนทรงบอกว่า ต่อไปอย่ามาขอเบอร์ และฆ่าสัตว์สังเวยอีกเพราะมันเป็นบาป มีคนถามว่าเมื่อก่อน เจ้าพ่อยังบอกลูกหลานอยู่ ทำไมจึงว่ามันบาป เจ้าพ่อตอบว่า เมื่อก่อนท่านยังไม่รู้ว่าบาปเป็นอะไร แต่พอได้ฟังธรรมจากพระกรรมฐานที่มาแสดงที่หน้าถ้ำ ท่านจึงรู้ว่ามันเป็นบาป แล้วบอกว่า ต่อไปถ้าจะเอาของมาสังเวยก็ขอให้เอา ขนม ผมไม้ มาบวงสรวง ตอนนี้ท่านก็จำศีลภาวนาอยู่เสมอ



หลวงปู่บอกว่าการไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาในครั้งนั้น ได้ผลมากพอสมควร ท่านได้อยู่บำเพ็ญสมณกิจที่สำนักสงฆ์นั้นมาจนขออนุญาตสร้างวัดได้สำเร็จ ตั้งชื่อว่า วัดประชาสันติ อยู่วัดนี้ได้ 6 ปี จึงย้ายมาอยู่ วัดสันติวราราม อีก 2 ปี จึงย้ายกลับไปอยู่วัดอรัญญบรรพต ตั้งแต่ปี 2502-ปัจจุบัน "สิ่งทั้งปวงในโลกนี้มิใช่ว่าจะอำนวยแต่ความทุกข์เท่านั้น บางทีก็อำนวยความสุขให้เหมือนกัน ดังนั้นคนจึงติดมัน แต่บรรดานักปราชญ์ผู้มีปัญญาทั้งหลายท่านพิจารณาเห็นว่า มันเป็นความสุขชั่วคราวไม่ยั่งยืน ถ้าพิจารณาโดยสรุปแล้ว ก็เป็นทุกข์นั้นแหละ มากกว่าความสุข อันความสุขที่ว่านี้ มันเป็นเพียงเหยื่อล่อให้ติดอยู่ในทุกข์เท่านั้น ไม่ใช่เป็นสุขยั่งยืนแต่อย่างใด เพราะคนเราเกิดมาแล้วที่สุดก็ต้องตาย ร่างกายนี้เมื่อจิตละไปแล้ว ก็ต้องแตกสลายออกจากกัน ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย" หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ ประวัติหลวงปู่ - ก่อนบวช - พรรษาแรก - - ธรรมยุติพรรษาที่ ๑ - ๕ - - พรรษาที่ ๖ - ๑๘ - - พรรษาที่ ๑๙ - ปัจจุบัน



วันที่ท่านมรณภาพ

หลวงปู่เหรียญ’เกจิดังมรณภาพ อาพาธรักษาที่ รพ.จุฬา’ศิษยานุศิษย์’สุดเศร้า



“พระสุธรรมคณาจารย์”หรือ”หลววงปู่เหรียญ วรลาโภ”เกจิดังภาคอีสาน เจ้าอาวาสวัดอรัญบรรพต อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย มรณภาพแล้ว หลังจากเข้ารักษาอาการอาพาธหลายโรคที่ รพ.จุฬาฯ โดยเป็นคนไข้ในพระราชูปถัมภ์ รวมอายุได้ 93 ปี 73 พรรษา มีประวัติเด่นในการแสดงพระธรรมเทศนา และการปฏิบัติธรรม ทำให้มีศิษยานุศิษย์ทั่วประเทศไทยตลอดจนประชาชนในลาวที่ให้ความเคารพศรัทธาเป็นอย่างมาก สำนักพระราชวังจะเคลื่อนศพไปตั้งบำเพ็ญกุศลที่วัดเทพศิรินทราวาส



ผู้สื่อข่าวรายงานมาว่า เมื่อเวลา 11.50 น. วันที่ 5 มิ.ย. พระสุธรรมคณาจารย์ หรือ หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ เจ้าอาวาสวัดอรัญบรรพต อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย เกจิอาจารย์ชื่อดังแห่งภาคอีสานตอนบน ได้มรณภาพ จากอาการอาพาธด้วยโรคไต ต่อมลูกหมากโต เส้นเลือดในสมองตีบ หัวใจตีบ ความดันโลหิต และโรคชรา รวมอายุ 93 ปี 73 พรรษา โดยคณะแพทย์ได้พยายามให้ความช่วยเหลืออย่างสุดความสามารถ แต่ก็ไม่สามารถที่จะช่วยชีวิตไว้ได้ และมรณภาพลงที่ห้อง ซีซีทียู รพ.จุฬาลงกรณ์



โดยคณะศิษยานุศิษย์ของหลวงปู่เหรียญ เปิดเผยว่า หลวงปู่เหรียญเริ่มอาพาธ เมื่อช่วง 2 ปีก่อน ต้องเข้ารับการรักษาที่ รพ. เอกอุดร จ.อุดรธานี และ รพ.วิชัยยุทธ ในกรุงเทพฯ เป็นประจำก่อนที่จะเข้าเป็นคนไข้ในพระราชูป ถัมภ์ และย้ายเข้ารับการรักษาที่ รพ. จุฬาฯ เมื่อวันที่ 4 เม.ย. ที่ผ่านมา จนกระทั่งมรณภาพใน ที่สุด



ต่อมาทางคณะแพทย์ รพ.จุฬาฯ ได้เคลื่อน ศพของหลวงปู่เหรียญ ตั้งไว้ที่ห้อง 408 ตึกวชิรญาณวงศ์ โดยมีศิษยานุศิษย์ ทั้งพระสงฆ์และผู้ศรัทธา ทยอยเดินทางมากราบศพ และในวันที่ 6 มิ.ย. นี้ ทางสำนักพระราชวังจะเคลื่อนย้ายศพหลวงปู่เหรียญ ไปตั้งบำเพ็ญกุศลศพ ที่วัดเทพ ศิรินทราวาส ในเวลา 13.00 น.



สำหรับ หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ เดิมมีชื่อว่า "เหรียญ ใจขาน" เกิดเมื่อวันที่ 8 ม.ค. 2455 ตรงกับวันพุธ ขึ้น 2 ค่ำ เดือนยี่ ปีชวด ที่ ต.บ้านหมอ อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย บิดาชื่อ นายผา ใจขาน มารดาชื่อ นางพิมพา ใจขาน มีพี่น้อง 7 คน บวชเมื่อเดือน ม.ค. 2475 ที่วัดบ้านหงส์ทอง อ.ท่าบ่อ จ.หนองคาย มีพระครูวาปีติฐวัตร เป็นพระอุปัชฌาย์ สังกัดเดิม มหานิกาย แปรญัตติใหม่เป็นธรรมยุติกนิกาย เมื่อวันที่ 19 เม.ย. 2476 ที่วัดโพธิสมภรณ์ จ.อุดรธานี มีท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์ เป็นพระอุปัชฌาย์ และพระครูประสาทคณานุกิจ เป็นพระกรรมวาจาจารย์



หลวงปู่เหรียญ ได้ธุดงค์ไปตามที่ต่าง ๆ ทั่วทุกภาคของประเทศไทย รวมทั้งประเทศ สปป.ลาว กระทั่งมาจำวัดอยู่ที่วัดอรัญบรรพต อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย ตั้งแต่ปี 2502 จนกระทั่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาส มีประวัติเด่น ในด้านแสดงพระธรรมเทศนา รวมทั้งการปฏิบัติธรรม มีชื่อเสียงโด่งดังโดยมีลูกศิษย์ลูกหาทั่วประเทศไทย ตลอดจนลูกศิษย์ลูกหาชาวลาว



เมื่อเวลา 15.00 น. วันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่าพระครูคง คนครพิทักษ์ หรือ หลวง ปู่คง ฐิติปัญญโญ เจ้าอาวาสวัดตะคร้อ ต.เมืองคง อ.คง จ.นครราชสีมา และเป็นเจ้าคณะอำเภอคง อายุ 94 ปี ถูกนำส่ง รพ.คง กะทันหัน หลังมีอาการเหนื่อยล้าแน่นหน้าอกหายใจไม่ออกจนฟุบหมดสติอยู่ภายในกุฏิ โดยแพทย์ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจและปั๊มหัวใจเป็นการด่วน เนื่องจากหัวใจหลวงปู่หยุดเต้นไปชั่วขณะ แต่หลังจากปั๊มหัวใจอาการของหลวงปู่คงดีขึ้น แพทย์จึงตัดสินใจนำหลวงปู่คง ส่งต่อ ยัง รพ.มหาราช ที่มีเครื่องมือทางการแพทย์พร้อมกว่า



นายประชา ฉัตรวงศ์วาน ส.อบจ. นครราชสีมา เขต อ.คง ลูกศิษย์ใกล้ชิด กล่าวว่า เมื่อเช้าหลวงปู่ได้ปฏิบัติกิจของสงฆ์ตามปกติ สามารถฉันภัตตาหารเช้าและฉันเพลได้ แต่ช่วงบ่าย หลวงปู่มีอาการแน่นจนหายใจไม่ออกหมดสติ บรรดาลูกศิษย์จึงรีบพาส่ง รพ.คง ซึ่งแพทย์ลงความเห็นว่า หลวงปู่มีอาการหัวใจล้มเหลว และหัวใจหยุดเต้น จึงต้องใช้เครื่องปั๊มหัวใจอยู่ตลอดเวลา อย่างไรก็ตาม คณะแพทย์ได้เฝ้าดูอาการอย่างใกล้ชิด.





ที่มาhttp://www.dailynews.co.th/(วันจันทร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2548)





ดังนั้นจึงเรียนเชิญทุกท่านมาสวดพระอภิธรรมร่วมกันทุกวัน

















โดย : กรมประชาสัมพันธ์ [ 2005-07-15 15:43:48 ] หมายเลขโทรศัพท์ : - -

 
ฐิต ฯ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 16 ก.ค.2005, 1:36 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

--สวัสดีครับ คุณเว็บมาสเตอร์ธรรมะไทย



--ในช่องความคิดเห็นในเว็บบอร์ดธรรมะไทย พิมพ์ข้อความแล้ว แถบขวามือ

สำหรับเลื่อนบรรทัด ไม่ทำงานครับ ขอความกรุณาตรวจสอบให้สักหน่อยครับผม



ขอบพระคุณมากครับ วันนี้วันหยุด หลายท่านคงไปเที่ยวไหวพระกัน..
 
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง